1. Situation : A secretary is talking to a caller.
Caller : This is Jim Smith. Can I speak to Mr. Johnson, please?
Secretary : A
Caller: B
Secretary: I’ll tell him as soon as I see him.
A. 1. Pardon me. I don’t know him.
2. Can you talk to him now?
3. I’m afraid he’s just gone out.
4. Sorry. He doesn’t want to speak to you.
B. 1. Could I hold on?
B. 1. Could I hold on?
2. Can you call me later?
3. Can you ask him to return my call?
4. Could I return his call later?
1. สถานการณ์ เลขานุการกำลังสนทนากับผู้ที่โทรศัพท์เข้ามา
คำตอบข้อ A คือ 3
คำตอบข้อ B คือ 3
โจทย์ข้อ A เป็นคำตอบที่เลขานุการตอบคำถามของจิม สมิทธิ์ ที่จะขอพูดสายกับคุณจอห์นสัน
ข้อ 1 เป็นการขอโทษและบอกว่าไม่รู้จัก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เลขานุการจะไม่รู้จักเจ้านาย ประโยค “Pardon
me.” มักใช้ในสถานการณ์ดังนี้คือ 1. ขอโทษในขณะที่ทำผิด 2. ก่อนที่จะเสนอข้อคิดเห็นแย้งใน
ระหว่างที่สนทนากัน 3. ขอให้คู่สนทนาพูดซ้ำอีกเมี่อฟังคำพูดของคู่สนทนาไม่ชัดเจน ข้อนี้จึงไม่ถูกเพราะ
การใช้คำที่ผิดและเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนัก
ข้อ 2 เป็นการถามกลับว่าจิม สมิทธิ์ จะพูดกับท่านเดี๋ยวนี้ได้ไหม ซึ่งไม่ได้เป็นการตอบรับสิ่งที่จิมถาม
และนอกจากนี้ยังไม่สอดคล้องกับบทสนทนาที่ให้ไว้ ข้อนี้จึงไม่ใช่ข้อที่ถูก
ข้อ 3 เป็นการตอบของเลขานุการว่า เกรงว่าท่าน (คุณจอห์นสัน) เพิ่งออกไป ข้อนี้เป็นข้อที่ถูกเพราะเป็น
ข้อที่ตอบคำถามที่ตรงที่สุด
ข้อ 4 เป็นการแสดงการขอโทษ / เสียใจ และบอกว่าท่าน (คุณจอห์นสัน) ไม่ต้องการพูดกับคุณ (จิม
สมิทธิ์) ทั้ง ๆ ทื่เจ้านายยังไม่ทราบเลยว่ามีคนโทรศัพท์มาหา ข้อนี้จึงไม่ใช่ข้อที่ถูกเพราะไม่สมเหตุสมผล
โจทย์ข้อ B เป็นการขอร้องของจิม สมิทธิ์ ซึ่งต้องสอดคล้องกับคำตอบรับของเลขานุการที่บอกว่า “ดิฉัน
จะเรียนให้ท่านทราบทันทีที่เห็นท่าน”
ข้อ 1 บอกว่า ผมจะถือสายรอได้ไหม ข้อนี้ไม่ถูกเพราะจิมทราบแล้วว่าเขาไม่อยู่
ข้อ 2 บอกว่า คุณจะโทรมาหาผมภายหลังได้ไหม ข้อนี้ไม่ถูกเพราะจิมต้องการพูดกับคุณจอห์นสัน ไม่
ได้ต้องการพูดกับเลขานุการ
ข้อ 3 บอกว่า คุณช่วยขอให้ท่านโทรกลับมาหาผมได้ไหม ข้อนี้ถูกเพราะสอดคล้องกับคำตอบรับของ
เลขานุการ
ข้อ 4 บอกว่า ผมจะโทรตอบกลับไปหาท่านภายหลังได้ไหม ข้อนี้ไม่ถูกเพราะคุณจอห์นสันไม่ได้โทรหา
จิม
2. Situation : Sunisa, a Thai student, just got off the plane at Heathrow Airport
in London and is asking an official on duty for help.
Sunisa: Excuse me, A the Thai Embassy?
Official: B
Sunisa: Thank you very much.
A. 1. could you tell me how to get to
2. would you kindly take me to
3. did this coach normally stop at
4. do you know when this bus stops at
B. 1. Our taxi drivers are very helpful and polite.
2. It won’t take long to get there.
3. You can buy a ticket on the bus.
4. That coach will take you there.
2. สถานการณ์ สุนิสาซึ่งเป็นนักเรียนไทยเพิ่งลงจากเครื่องบินที่สนามบินฮีทโรว์ในลอนดอน
กำลังขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่
คำตอบข้อ A คือ 1
คำตอบข้อ B คือ 4
โจทย์ข้อ A เป็นคำถามที่สุนิสาถามเกี่ยวกับสถานทูตไทย คำถามที่สมเหตุสมผลที่สุดก็ต้อง
เกี่ยวกับวิธีการไป
ข้อ 1 บอกว่า คุณช่วยบอกฉันได้ไหมว่าจะไปสถานทูตไทยได้อย่างไร เป็นข้อที่ถูก เพราะจะ
สอดคล้องกับคำตอบของเจ้าหน้าที่ในบทสนทนา
ข้อ 2 บอกว่า คุณช่วยกรุณาพาฉันไปสถานทูตไทยได้ไหม ข้อนี้ไม่ถูกเพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่
ใครจะขอให้เจ้าหน้าที่พาไป
ข้อ 3 บอกว่า รถยนต์โดยสารทางไกลคันนี้ปกติแล้วเคยจอดที่สถานทูตไทยใช่ไหม ข้อนี้ไม่ถูก
เพราะไม่สมเหตุสมผลที่สุนิสาจะต้องไปถามเจ้าหน้าที่
ข้อ 4 บอกว่า คุณทราบไหมว่าเมื่อไหร่ที่รถประจำทางคันนี้จอดที่สถานทูตไทย ข้อนี้ไม่ถูก
เพราะไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน
โจทย์ข้อ B เป็นคำตอบที่เจ้าหน้าที่ตอบคำถามของสุนิสาเกี่ยวกับการไปสถานทูตไทย
ข้อ 1 บอกว่า คนขับแท็กซี่ของเราชอบช่วยเหลือและสุภาพเรียบร้อย ข้อนี้ไม่ถูก เพราะไม่
เกี่ยวกับการไปสถานทูตเลย และไม่สอดคล้องกับคำพูดของสุนิสาที่ถามมา
ข้อ 2 บอกว่า มันไม่ต้องใช้เวลามากที่ไปที่นั่น ข้อนี้ไม่ถูกเพราะสุนิสาไม่ได้ถามว่าสถานทูต
อยู่ใกล้หรือไกล
ข้อ 3 บอกว่า คุณสามารถซื้อตั๋วได้บนรถประจำทาง ข้อนี้ไม่ถูก เพราะไม่ได้ตอบคำถามของ
สุนิสา
ข้อ 4 บอกว่า รถโดยสารที่วิ่งทางไกลคันนั้นจะพาคุณไปที่นั่น ข้อนี้ถูก เพราะตอบคำถาม
โดยให้ข้อมูลว่าจะไปถึงสถานทูตได้อย่างไร
3. Situation : Prasert is trying to talk Tom into going to a football match with him.
Tom : My favorite football team from England is playing
against the Thai National team this Sunday. I really
want to go, but A
Prasert : Oh, come on. Go with me. B
A. 1. I’m sure I’ll enjoy it.
2. it’s too late for me to go.
3. all the tickets are sold out.
4. my assignment is due on Monday.
B. 1. Don’t you like football?
2. You shouldn’t hand in the work late.
3. There won’t be another match like this.
4. We shouldn’t pay anything extra for tickets.
3. สถานการณ์ ประเสริฐพยายามพูดชักชวนทอม ให้ไปดูการแข่งขันฟุตบอลกับเขา
ทอม : ทีมฟุตบอลจากอังกฤษที่ผมชอบ จะมาเล่นกับทีมชาติไทยวันอาทิตย์นี้
ผมอยากไปดูจริงๆ แต่ A
ประเสริฐ : โธ่ ไปกับผมเถอะ B
คำตอบข้อ A คือ 4
คำตอบข้อ B คือ 3
โจทย์ข้อ A คำตอบที่ถูกต้องแย้งกับข้อความที่มาข้างหน้า เนื่องจากมี but เป็นตัวเชื่อม
ข้อ 1 บอกว่า ผมมั่นใจว่าผมจะสนุกกับการแข่งขัน ข้อนี้ไม่ถูก เพราะความหมายสอดคล้อง
กับประโยคที่มาก่อน
ข้อ 2 บอกว่า มันสายไปแล้วที่ผมจะไป ข้อนี้ไม่ถูกเพราะยังไม่ทันถึงวันแข่งขัน
ข้อ 3 บอกว่า ตั๋วขายหมดแล้ว ข้อนี้ก็ไม่ถูก ถึงแม้ว่าจะเป็นการแย้งกับประโยคที่มาก่อนก็
ตาม แต่เนื้อหาไม่สอดคล้องกับประโยคสุดท้ายที่ประเสริฐพูด
ข้อ 4 บอกว่า การบ้านของผมถึงกำหนดส่งวันจันทร์ ข้อนี้ถูกเพราะว่าให้ข้อมูลแย้งว่าไปไม่ได้
เพราะอะไร
โจทย์ข้อ B คำตอบที่ถูกจะต้องเป็นคำพูดของประเสริฐที่ขยั้นขยอให้ทอมไปกับเขา
ข้อ 1 บอกว่า คุณไม่ชอบฟุตบอลหรอกหรือ ข้อนี้ไม่ถูก เพราะเป็นการย้อนถามทั้งๆ ที่ทราบ
อยู่แล้วว่าเขาชอบ
ข้อ 2 บอกว่า คุณไม่ควรส่งงานช้า ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่ได้เป็นการชวนแต่เป็นการ
ห้ามปรามเสียด้วยช้ำ
ข้อ 3 บอกว่า จะไม่มีการแข่งขันอื่นที่จะเหมือนครั้งนี้ ข้อนี้ถูก เพราะเป็นการโน้มน้าว
ชักชวนให้ทอมไปให้ได้
ข้อ 4 บอกว่า ไม่ควรจ่ายค่าตั๋วเพิ่ม ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่สอดคล้องกับบทสนทนา และ
ไม่ได้เป็นการชักชวน แต่เป็นการห้าม
4. Situation : Miss Jones, an American tourist, is telling her friend, Tommy,
about her problem.
Miss Jones : Tommy, my bag was stolen, and A
Tommy: B Do you know when it happened?
Miss Jones: I just realized it a moment ago.
A. 1. I lost my passport and all my money.
2. I should have brought my bag with me.
3. I wonder where I can find my belongings.
4. I don’t remember where I kept my passport.
B. 1. What’s the matter?
2. How shameful!
3. How unfortunate!
4. That’s your problem.
4. สถานการณ์ มิสโจนส์ชึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันกำลังเล่าปัญหาของเธอให้
ทอมมี่ชึ่งเป็นเพื่อนฟัง
มิสโจนส์ : ทอมมี่ กระเป๋าฉันถูกขโมย
ทอมมี่ : เธอรู้ไหมมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่
มิสโจนส์ : ฉันเพิ่งรู้เมื่อสักครู่นี้เอง
คำตอบข้อ A คือ 1
คำตอบข้อ B คือ 3
โจทย์ข้อ A สิ่งที่มิสโจนส์บอกทอมมี่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระเป๋าที่ถูกขโมยเพราะ
มี and เป็นตัวเชื่อมประโยค
ข้อ 1 บอกว่า ฉันสูญหนังสือเดินทางและเงินทั้งหมด ข้อนี้ถูกเพราะเป็นการให้ราย
ละเอียดว่าอะไรหายไปบ้าง
ข้อ 2 บอกว่า ฉันควรเอากระเป๋ามากับตัวด้วย ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นการใช้สมมติฐาน
กับเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีต ซึ่งจากในบทสนทนาเราทราบว่าเธอเอากระเป๋า
มาด้วยถึงได้ถูกขโมย
ข้อ 3 บอกว่า ฉันสงสัยว่าจะไปหาของส่วนตัวได้ที่ไหน ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่เกี่ยวกับ
เรื่องกระเป๋าที่ถูกขโมย
ข้อ 4 บอกว่า ฉันจำไม่ได้ว่าเก็บหนังสือเดินทางไว้ที่ไหน ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่ได้
เกี่ยวกับเรื่องที่กระเป๋าถูกขโมย และไม่ต่อเนื่องกับคำพูดของทอมมี่ที่ตามมา
โจทย์ข้อ B คำตอบควรเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจของทอมมี่ที่มีต่อเพื่อน
ข้อ 1 บอกว่า “เกิดอะไรขึ้น” ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเพื่อนบอกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ข้อ 2 บอกว่า “น่าอายจริง” ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นการซ้ำเติม ไม่ได้แสดงความเห็นใจ
ข้อ 3 บอกว่า “ช่างเคราะห์ร้ายจริง” ข้อนี้ถูกเพราะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจ
ข้อ 4 บอกว่า “นั่นเป็นปัญหาของเธอ” ข้อนี้ไม่ถูกเพราะแสดงความไม่สนใจใยดี
กับเพื่อนเลย
5. Situation : Ploy is a tour guide from TT Tour waiting to meet a customer at
the airport.
Ploy : You are Mr. Richards, aren’t you? I’m Ploy
from TT Tour.
A
Mr. Richards: B Have you been waiting long?
A. 1. Here is my friend.
2. Have a nice trip.
3. Welcome to Bangkok.
4. Please follow the way.
B. 1. Thank you.
2. With pleasure.
3. Sure, I will.
4. That’s fine.
5. สถานการณ์ พลอยเป็นมัคคุเทศก์จากทีทีทัวร์กำลังรอลูกค้าอยู่ที่สนามบิน
พลอย : คุณคือคุณมาร์คใช่ไหมค่ะ ดิฉันชื่อพลอยจากทีทีทัวร์ค่ะ
A
ริชาร์ด: B คุณมาคอยนานไหมครับ
คำตอบข้อ A คือ 3
คำตอบข้อ B คือ 1
โจทย์ข้อ A คำตอบควรจะเป็นการแสดงการต้อนรับหลังจากที่ได้แนะนำตัวแล้ว
ข้อ 1 บอกว่า นี่คือเพื่อนของฉัน ข้อนี้ไม่ถูกเพราะผิดปกติที่มัคคุเทศก์จะมาแนะนำ
แขกให้รู้จักเพื่อน และไม่ได้บอกว่าเพื่อนชื่ออะไร
ข้อ 2 บอกว่า ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นประโยคที่ใช้อวย
พรคนที่จะเดินทาง ไม่ใช่สำหรับคนที่เดินทางมาถึงแล้ว
ข้อ 3 บอกว่า ยินดีต้อนรับสู่กรุงเทพ ข้อนี้ถูกเพราะเป็นการแสดงการต้อนรับแขกที่มาเยือน
ข้อ 4 บอกว่า โปรดเดินไปตามทาง ข้อนี้ไม่ถูกเพราะมัคคุเทศก์มีหน้าที่ดูแลแขก และคงจะไม่
สั่งให้แขกเดินไปเอง
โจทย์ข้อ B คำตอบที่ถูกจะต้องเป็นคำขอบใจที่มัคคุเทศก์กล่าวคำต้อนรับ
ข้อ 1 บอกว่า ขอบใจ ข้อนี้ถูกเพราะเป็นธรรมเนียมที่ชาวตะวันตกจะกล่าวเมื่อมีคนมาแสดง
การต้อนรับ
ข้อ 2 บอกว่า ด้วยความยินดี ข้อนี้ไม่ถูกเพราะประโยคนี้จะใช้เมื่อมีคนมากล่าวขอบคุณที่เรา
ได้ช่วยเหลือเขา
ข้อ 3 บอกว่า แน่ละ ฉันจะ ข้อนี้ไม่ถูก เพราะไม่สอดคล้องกับบทสนทนา และไม่ทราบว่าฉัน
จะทำอะไร
ข้อ 4 บอกว่า ดีเยี่ยมจริง ๆ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่มีอะไรจะให้กล่าวชม
6. Situation : Dave and Pete are talking about their plans for tonight.
Pete: Tonight I’m going to study for our English test. A
Dave: No, thanks. B
A. 1. What would you like to do now?
2. Will you come to the library with me?
3. When will you study for it?
4. Is it important for us to study?
B. 1. I’m going to the movies tonight.
2. I haven’t decided yet.
3. I don’t want anything tonight.
4. I’ll follow you.
6. สถานการณ์ เคนและพีทกำลังคุยกันเรื่องจะทำอะไรคืนนี้
พีท : คืนนี้ฉันจะดูหนังสือสำหรับการทดสอบวิชาภาษาอังกฤษของเรา A
เดฟ : ไม่ละ ขอบใจ B
คำตอบข้อ A คือ 2
คำตอบข้อ B คือ 1
โจทย์ข้อ A คำตอบจะต้องเป็นคำถามที่ต้องการให้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ข้อ 1 บอกว่า ขณะนี้เธออยากทำอะไร ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเดฟไม่ได้บอกว่าอยากทำอะไร แต่
ตอบปฏิเสธ
ข้อ 2 บอกว่า เธอจะไปห้องสมุดกับฉันไหม เป็นการถามที่จะต้องตอบรับหรือตอบปฏิเสธว่า
จะไปหรือไม่ไป ข้อนี้ถูกเพราะตรงกับคำตอบของเดฟที่ให้ไว้
ข้อ 3 บอกว่า เมื่อไรเธอจะดูหนังสือเพื่อสอบ เป็นการถามที่ต้องการคำตอบเป็นวันเวลา แต่
ไม่ใช่ตอบรับหรือปฏิเสธ ข้อนี้จึงไม่ถูก
ข้อ 4 บอกวา่ มนั สำคญั สำหรบั เราไหมทจี่ ะดหู นงั สอื เพอื่ สอบ ขอ้ นไี้ มถ่ กู เพราะถงึ แมจ้ ะตอ้ งการ
คำตอบที่ตอบรับหรือตอบปฏิเสธก็ตาม แต่ประโยคก็ไม่สอดคล้องกับประเด็นที่คุยกัน
โจทย์ข้อ B คำตอบจะต้องเป็นเหตุผลที่เดฟบอกพีทว่าทำไมถึงปฏิเสธการชวนไปห้องสมุด
ข้อ 1 บอกว่า ฉันจะไปดูหนังคืนนี้ ข้อนี้ถูกเพราะเป็นเหตุผลที่เดฟไปด้วยไม่ได้
ข้อ 2 บอกว่า ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลย ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่าไม่ไปเพราะ
ยังไม่ตัดสินใจ
ข้อ 3 บอกว่า ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นคืนนี้ ข้อนี้ไม่ถูก เพราะพีทไม่ได้ถามว่าเขาต้องการ
อะไร เป็นการตอบที่ไม่ตรงบระเด็น
ข้อ 4 บอกว่า ฉันจะตามเธอไป ข้อนี้ไม่ถูกเพราะค้านกับคำตอบที่ให้ไว้
7. Situation : Usa is a new Thai student at a college in America. Mary, her roommate,
is telling her about the college library.
Mary : During final exam week, A
Usa : B In Thailand, most university libraries are
open only until 8.00 p.m.
A. 1. I like to study in the library after class.
2. the main library is open 24 hours a day.
3. you must show your ID card when you take a book.
4. the library has a lot of science journals.
B. 1. How could they?
2. Dear me!
3. Of course!
4. How convenient!
7. สถานการณ์ อุษาซึ่งเป็นนักเรียนไทย เข้ามาเป็นนักศึกษาใหม่ของวิทยาลัยแห่งหนี่งในอเมริกา
แมรี่ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องกำลังเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องห้องสมุดของวิทยาลัย
แมรี่ : ในอาทิตย์ที่มีการสอบไล่ A
อุษา : B ในบระเทศไทย ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเปิดจนถึง 2 ทุ่ม
คำตอบข้อ A คือ 2
คำตอบข้อ B คือ 4
โจทย์ข้อ A คำตอบต้องเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเวลาทำการของห้องสมุด เพราะในข้อมูลที่อุษาให้
แมรี่เป็นข้อมูลของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
ข้อ 1 บอกว่า ฉันชอบไปดูหนังสือในห้องสมุดหลังเลิกเรียน ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่สอด
คล้องกับคำพูดของอุษาเรื่องเวลาทำการของห้องสมุด
ข้อ 2 บอกว่า ห้องสมุดกลางเปิดตลอด 24 ชม. ข้อนี้ถูกเพราะเป็นข้อมูลที่นักศึกษา
ใหม่ควรจะทราบ อีกทั้งยังสอดคล้องกับคำพูดของอุษาด้วย
ข้อ 3 บอกว่า เธอต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อหยิบหนังสือขึ้นมาดู ข้อนี้จึงไม่ถูก
เพราะไม่สมเหตุสมผล
ข้อ 4 บอกว่า ห้องสมุดมีวารสารวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมาก ข้อนี้ไม่ถูกเพราะห้อง
สมุดที่อื่นก็มีวารสารวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากได้เช่นกัน
โจทย์ข้อ B คำตอบที่ถูกควรเป็นการแสดงความประทับใจหรือชื่นชม
ข้อ 1 บอกว่า เขาทำได้อย่างไร ข้อนี้ไม่ถูกเพราะแสดงความไม่เชื่อ เป็นสิ่งที่เป็น
ไปไม่ได้
ข้อ 2 บอกว่า ตายจริง ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นคำอุทานแสดงการตกใจ
ข้อ 3 บอกว่า แน่นอน ข้อนี้ไม่ถูก เพราะเป็นคำที่ใช้ในการสนับสนุน ยืนยันว่าเป็น
เช่นนั้นจริง ๆ
ข้อ 4 บอกว่า สะดวกจริง ๆ ข้อนี้ถูกเพราะเป็นการแสดงความประทับใจ
8. Situation : Paul is telling Weena about his problem.
Paul : A Someone must have entered my office.
Weena: B But have you checked with your secretary?
A. 1. I wish you could find all my papers in time.
2. These reports haven’t been completed.
3. My belongings are well kept in the cabinet.
4. All the important documents are missing from my folder.
B. 1. That’s it.
2. How boring!
3. Don’t mention it.
4. I’m sorry to hear that.
8. สถานการณ์ พอลเล่าให้วีณาฟังถึงปัญหาของเขา
พอล : A ต้องมีใครบางคนได้เข้ามาในห้องทำงานของผม
วีณา : B ว่าแต่ว่าคุณได้ตรวจสอบกับเลขานุการของคุณแล้วหรือยัง
คำตอบข้อ A คือ 4
คำตอบข้อ B คือ 4
โจทย์ข้อ A คำตอบจะต้องเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นและทำให้พอลเชื่อ
ว่ามีคนเข้าไปในห้องทำงานของเขา
ข้อ 1 บอกว่า ผมอยากให้คุณหาเอกสารของผมทั้งหมดเจอทันเวลา ข้อนี้ไม่ถูกเพราะ
ไม่สอดคล้องกับประโยคต่อมาที่เขาพูด
ข้อ 2 บอกว่า รายงานเหล่านี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่สอดคล้องกับ
เรื่องที่เขาสงสัยว่ามีคนเข้ามาในห้องทำงาน
ข้อ 3 บอกว่า ของส่วนตัวของผมเก็บอย่างดีอยู่ในตู้ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะค้านกับคำพูด
ในประโยคต่อมา
ข้อ 4 บอกว่า เอกสารสำคัญทั้งหมดหายไปจากแฟ้มของผม ข้อนี้ถูกเพราะสอด
คล้องกับคำพูดในประโยคต่อมา
โจทย์ข้อ B ควรจะเป็นการแสดงความเสียใจที่เพื่อนประสบปัญหา
ข้อ 1 บอกว่า ถูกแล้ว ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นการคล้อยตามเห็นด้วย
ข้อ 2 บอกว่า น่าเบื่อ ข้อนี้ไม่ถูกแสดงความไม่มีมารยาท ส่อความรำคาญ
ข้อ 3 บอกว่า ไม่เป็นไร ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นคำพูดที่ใช้ในการตอบขอบคุณของคนอื่น
ข้อ 4 บอกว่า เสียใจที่ได้ยินข่าวนี้ ข้อนี้ถูกเพราะเป็นคำพูดที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ
9. Situation : A student wants to see his instructor, Mr. Benson.
Student : Excuse me, Mr. Benson. A
Mr. Benson : B Oh, yes. I won’t be doing anything then.
A. 1. Don’t you have any free time at all?
2. What time will you be free ?
3. I wonder if you would be available at two this afternoon.
4. Would you mind if I came to see you when you are available?
B. 1. Please do.
2. Let me see.
3. Please take a look.
4. I have plenty of time.
9. สถานการณ์ นักเรียนต้องการที่จะพบมิสเตอร์เบนสันซึ่งป็นอาจารย์
นักเรียน : ขอโทษครับอาจารย์เบนสัน A
อาจารย์เบนสัน : B โอได้สิ ครูไม่ได้ทำอะไรตอนนั้น
คำตอบข้อ A คือ 3
คำตอบข้อ B คือ 2
โจทย์ข้อ A ต้องเป็นการนัดหมายเวลาที่จะมาพบอาจารย์
ข้อ 1 บอกว่า อาจารย์จะไม่มีเวลาใดว่างเลยหรือครับ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะ
สม เป็นการกล่าวบททั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ถามอาจารย์เลยว่าจะว่างเมื่อไหร่
ข้อ 2 บอกว่า เวลาไหนที่อาจารย์จะว่าง ข้อนี้ไม่ถูกเพราะจะไม่สอดคล้องกับคำพูดของอาจารย์
ที่ให้ไว้
ข้อ 3 บอกว่า ผมอยากทราบว่าอาจารย์จะว่างตอนบ่าย 2 โมงนี้ไหมครับ ข้อนี้ถูกเพราะเป็น
การถามอย่างสุภาพและบ่งบอกเวลาที่ต้องการจะมาพบด้วย ซึ่งสอดคล้องกับคำตอบรับของ
อาจารย์
ข้อ 4 บอกว่าจะเป็นไรไหมครับถ้าผมจะมาหาเมื่ออาจารย์ว่าง ข้อนี้ไม่ถูกเพราะถึงจะเป็นการ
ถามที่สุภาพแต่คำถามก็ไม่สอดคล้องกับคำตอบของอาจารย์
โจทย์ข้อ B คำตอบจะต้องเป็นเรื่องเวลาที่อาจารย์ต้องตรวจสอบก่อนว่าว่างหรือไม่
ข้อ 1 บอกว่า เชิญทำ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่ทราบว่าทำอะไร
ข้อ 2 บอกว่า ขอให้ครูดูก่อน ข้อนี้ถูกเพราะอาจารย์จะต้องตรวจสอบว่าว่างหรือไม่ตามเวลา
ที่นักเรียนขอมา
ข้อ 3 บอกว่า เชิญมาดู ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่ทราบว่าจะให้นักเรียนดูอะไร
ข้อ 4 บอกว่า ครูมีเวลาเยอะมาก ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่ได้บอกว่าว่างหรือไม่
10. Situation : Mr. Hill is returning Supa’s writing assignment to her. He has
given her an A for it.
Mr. Hill : Supa, here is your writing assignment.
A
Supa: B
Mr. Hill: You deserve it.
A. 1. Try to keep up with your work.
2. Did anybody help you do it?
3. You have to spend a lot more time on this.
4. You’ve really done a very good job!
B. 1. Are you sure you like it?
2. That’s very kind of you.
3. It is a difficult assignment.
4. I don’t believe you!
10. สถานการณ์ มิสเตอร์ฮิลคืนงานเขียนให้สุภา เขาให้เธอเกรดเอ
มิสเตอร์ฮิล : สุภา นี่คืองานเขียนของเธอ A
สุภา : B
มิสเตอร์ฮิล : เธอสมควรได้มัน
คำตอบข้อ A คือ 4
คำตอบข้อ B คือ 2
โจทย์ข้อ A คำตอบจะต้องเกี่ยวกับงานเขียนของสุภา ซึ่งควรจะเป็นคะแนนที่ได้
ข้อ 1 บอกว่า พยายามไล่ตามให้ทันงานของเธอ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่ได้มีความหมายสอด
คล้องกับสถาณการณ์ที่นักเรียนได้เกรดเอ
ข้อ 2 บอกว่า มีใครช่วยเธอทำมันหรือเปล่า ข้อนี้ไม่ถูกเพราะไม่สอดคล้องกับคำตอบรับของ
สุภา
ข้อ 3 บอกว่า เธอควรใช้เวลามากกว่านี้ที่จะทำสิ่งนี้ ข้อนี้ไม่ถูกเพราะการใช้กริยาในรูปของ
present tense แสดงว่าจะต้องเป็นงานที่ยังไม่ได้ทำ แต่ในบทสนทนานักเรียนส่งงานแล้ว
และอาจารย์กำลังคืนงานที่ตรวจเสร็จแล้วให้นักเรียน
ข้อ 4 บอกว่า เธอทำได้เยี่ยมมาก ข้อนี้ถูกเพราะเป็นคำติชมที่อาจารย์จะต้องให้เมื่อคืนงาน
นักเรียน
โจทย์ข้อ B จะต้องเป็นคำตอบที่ตอบรับคำติชมของอาจารย์
ข้อ 1 บอกว่า อาจารย์แน่ใจหรือคะ ว่าชอบมัน ไม่ถูกเพราะเป็นการย้อนถามอาจารย์
ข้อ 2 บอกว่า เป็นความกรุณาของอาจารย์ ข้อนี้ถูกเพราะเป็นคำที่แสดงการขอบคุณเมื่อมีใคร
ทำอะไรให้ และเรารู้สึกในความกรุณาเมตตาของเขา
ข้อ 3 บอกว่า ในเป็นงานที่ยากมาก ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเป็นการบ่นแทนที่จะขอบคุณอาจารย์
ข้อ 4 บอกว่า ฉันไม่เชื่อเธอ (ดิฉันไม่เชื่ออาจารย์หรอก) ข้อนี้ไม่ถูกเพราะเสียมารยาท เป็น
การแสดงความไม่เชื่อคำพูดของอาจารย์
ตอนที่ 1 ข้อสอบ O-net ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาอังกฤษ) ปี 2557
1. My boss, Brian, is busy
tomorrow.
He ________ a sales
presentation to the board committee after lunch.
1. has
2. has given
3. won’t give
4. is giving
5. has been giving
ตอบ 4
เพราะโจทย์ให้คำบอกเวลาคือ tomorrow จึงต้องใช้
Present continuous tense เพื่อบอกสิ่งที่กำลังจะทำ
หรือตั้งใจจะทำ ในอนาคต ตัวเลือกที่4จึงถูกตอ้ง
2. Have you ever ________ anything
valuable in your school canteen?
1. loss
2. leave
3. come across
4. skipped
5. looked forward
ตอบ 3 เพราะcome across เป็นกริยาวลีแปลว่า
พบเจอโดยบังเอิญ
3. ________________ We only eat
takeouts.
1. We don’t like street
foods.
2. We don’t cook.
3. We really hate junk
foods.
4. We usually spend time on
cooking.
5. We sometimes cook.
ตอบ 2 เพราะจากโจทย์ประโยคหลังบอกว่า พวกเราทานอาหารจากร้านเท่านั้นดังนั้น
ประโยคแรก จึงควรมีใจความทำนองว่าเราไม่ทำอาหารทานกัน ในบ้าน ตัวเลือกที่2จึงเป็นคำ ตอบที่ ถูกต้อง
4. I saw a big grizzly bear once. It
was during my school camping in the forest. The bear ________ right to me while
I _______ to the river. I _________!
1. is walking / am going / am
terrifying
2. was walking / went / was
terrifying
3. walked / was going / am
terrified
4. was walking / was walking /
was terrified
5. walked / was walking / am
terrified
ตอบ 4 เพราะคำ กริยาใน 2 ประโยคแรก ทำให้รู้ว่า
เหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต ดังนั้นคำ กริยาที่ใช้ต้อง เป็นรูปอดีตทั้งหมด
ตัวเลือกที่3ถูกต้อง เพราะประโยคที่3 มีคำ
เชื่อม while ซึ่งกริยาที่อยู่ ข้างหน้าและข้างหลังต้องเป็น tense
เดียวกัน
5. This is such a comfy armchair. I
love it!
1. This armchair is
beautiful.
2. This armchair is very
luxury.
3. This armchair is great with
design.
4. This armchair is
comfortable.
5. This is an antique
armchair.
ตอบ 4 เพราะcomfy (adj.)= สบาย สะดวกความหมายเหมือนคำว่าcomfortable
6. Nuch used to ______ to Phuket
when she was young.
1. went
2. go
3. visit
4. going
5. going to go
ตอบ 2 เพราะหลัง used to ต้องตามด้วย v.1 ตัวเลือกที่2จึงถูกต้อง ส่วนตัวเลือกที่3ผิด เพราะกริยา visit จะไม่มีpreposition ตามหลัง
7. After _______ in Vientiane for a
while, we _______ to love it.
1. we live / started
2. living / started
3. lived / start
4. we have lived /
started
5. we are living / start
ตอบ 2 เพราะกริยาในช่องว่างที่1และ2 ต้องมี
tense ที่สัมพันธ์กัน ตัวเลือกที่2จึงถูกต้องโดยกริยา
ตัวแรก (we had lived) ถูกแปลงให้อยู่ในรูป present
participle
8. A: I don’t like that hotel. I
went there last month. It was really dirty around the pool.
B: Things were
changed, Dear. Now the pool is _________ .
1. spacious
2. hygienic
3. determined
4. stuffy
5. condensed
ตอบ 2 เพราะhygienic (adj.) = สะอาด ปลอดเชื้อ
9. Dara is a swimmer who has a great
body. She has a muscular ______ from hard swimming.
1. build
2. race
3. ethic
4. diet
5. shaping
ตอบ 1 เพราะmuscular build เป็นสำนวน
หมายถึงรูปร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
10. A:
__________________________
B: One of them
had a big beard.
1. What did they both
share?
2. What were they
wearing?
3. Did they have a facial
hair?
4. Were they tall?
5. Have they got any special
garment?
ตอบ 3 เพราะB ตอบว่า หนึ่งในนั้น
มีหนวดดังนั้นคำถามที่ถามจึงต้องเป็นตัวเลือกที่3 เพราะแปลว่า
พวกเขามีหนวดไหม ? ซึ่งใจความสอดคล้องกับคำ ตอบมากที่สุด
11. Which choice best refers to the
sentence “The local people aren’t accustomed to seeing Westerners.”?
1. The local people have never
had a good relationship with Westerners.
2. The local people are
excited to see Westerners.
3. The local people don’t
welcome Westerners who visiting their community.
4. All Western culture is not
acceptable for the local people.
5. Westerners always have a
lot of influence upon the local people
ตอบ 2 เพราะประโยคที่โจทยใ์ห้แปลว่า คนในท้องถิ่น
ไม่คุ้นกับการได้เจอนักท่องเที่ยวาำวตะวันตก ดังนั้น ตัวเลือกที่2 “คนในท้องถิ่นตื่นเต้น ที่ได้เจอกันท่องเที่ยวชาวตะวันตก” จึงเป็นประโยคที่สอดคล้องกับประโยคของโจทย์มากที่สุด
12.
Peterson’s Restauranturgent!
We are
looking for keen young people to work as a waiter/waitress for this summer
season.
You must be energetic, friendly,
polite and willing to work hard.
Long work hours but great pay!
Drop by and talk to Ms. Anna Peterson at
3/14, Lincoln Main Street.
Which part of the
advertisement describes the term “keen young people”?
1. Be polite
2. Be friendly to
collegues
3. Must work long hours
4. Looking for a great pay
job
5. Be willing to work hard
ตอบ 5 เพราะkeen (adj) = มีความหลงใหลกระตืนรือร้นที่จะทำ
ดังนั้น ตัวเลือกที่5จึงถูกตอ้ง
13. Sandra, you ________ stay for
the entire time. You can leave whenever you finish.
1. must
2. mustn’t
3. couldn’t
4. don’t need to
5. have to
ตอบ 4 เพราะใจความต้องสื่อวำ่ “Sandra ไม่จำเป็นต้องนั่ง จนหมดเวลา” จึงจะสอดคล้องกับ
ประโยคที่ ตามมาข้างหลัง ดังนั้น ตัวเลือกที่3 don’t need toจึงถูกต้อง
14. It’s nice to see you look
_______ today, Pui. What makes you so happy?
1. ambitious
2. moody
3. cheerful
4. conscientious
5. healthy
ตอบ 3 เพราะcheerful (adj) = สดชื่น เบิกบาน
ตัวเลือกนี้ถูกต้องเพราะสอดคล้องกับคำว่า happy ใน ประโยคที่
2
15. Which sentence shows a
prediction based on the evidence?
1. We cut down million trees
each year. So the number of floods and landslides is rising.
2. Every year it rains less
and less. There are going to be more droughts.
3. People have skin cancer
because the ozone layer is getting thinner.
4. Developing countries build
more factories. Most of the factories cause acid rain.
5. I have used this branded
lipstick as I am allergic to all other brands.
ตอบ 2 เพราะโจทย์ต้องการประโยคที่เป็นการพยากรณ์ตามหลักฐานหรือข้อมูลที่มี
ตัวเลือกที่ 2 จึง ถูกต้องส่วนตัวเลือกอื่นเป็นการบอกข้อมูลไม่ใช่การพยากรณ์
16. Unless countries work together,
__________________ .
1. the world won’t beat global
warming
2. there will be less
waste
3. the world won’t run out of
oil very soon
4. there will be more forest
fires
5. There are more people who
pollute the environment.
ตอบ 1 เพราะตัวเลือกที่1ถูกต้อง เพราะใจความสอดคล้องกับ
ประโยคย่อยที่โจทย์ให้มาคือถ้าทุก ประเทศไม่ร่วมมือกัน โลกจะไม่สามารถสู้กับ
ภาวะโลกร้อนได้
17. The little boy reached toward a
lighted candle. Upon _____________, he jerked his hand back and then started to
scream.
1. he finds it was hot
2. he finding it was hot
3. founding it was hot
4. he had found it was
hot
5. finding it was hot
ตอบ 5 เพราะTense ของคำตอบ ต้องสอดคล้องกับ
ประโยคที่ตามหลัง(Past simple) จึงมีแต่ตัวเลือกที่ 5
เท่านั้น ที่ถูกต้องโดยในที่นี้ถูกทำ ให้เป็น Present
participle ตามหลัง adv. “upon” เพื่อให้เป็นประโยคย่อยของประโยคหลักที่อยู่ข้างหลัง
18. Manus turned on the fan
_________ the room was hot.
1. besides
2. despite
3. even though
4. because
5. apart from
ตอบ 4 เพราะจากโจทย์ประโยคย่อย Manus turned on the fan เป็นผลสืบเนื่องจากประโยคย่อย
the room was hot ดังนั้นจึงต้องใช้คำเชื่อม because เพื่อเชื่อมทั้ง 2 ประโยคเข้าด้วยกัน
19. Wittawat ________ all the
painting projects. Otherwise, he won’t pass the fine art subject.
1. would finish
2. must finish
3. is going to finish
4. will finish
5. is willing
ตอบ 2 เพราะต้องตอบ must เพรำะมีเงื่อนไขบอกวำ่
ถำ้ตอนน้ีทำ ไม่เสร็จในอนำคตจะไม่สำมำรถผำ่ น
วชิำวจิิตรศิลป์ได้ส่วนตวัเลือกอื่นเป็นกริยำในรูปอนำคตท้งัหมดจึงใชต้อบไม่ได
20. Jessica and Tiffany postponed
their trip __________ the bad traffic condition.
1. due to the fact that
2. nevertheless
3. although
4. despite
5. because of
ตอบ 5 เพราะตัวเลือกที่ 5 ถูกต้อง เพรำะคำ
เชื่อมในตวัเลือกอื่นตอ้งตำมดว้ยประโยคเท่ำน้น
21. Mr. Marcus recommended us that
the science lab class ________ into two sections.
1. should added up
2. must add up
3. be divided
4. divides
5. should divide
ตอบ 3 เพราะประโยคให้ค ำแนะน ำ ในอนุประโยคต้องใช้กริยำเป็ น infinitive เท่ำน้นั และในที่น้ีตอ้ง ท ำเป็ นรูป passive voice ด้วย เพรำะประธำนของอนุประโยคคือ science lab class ค
ำตอบที่ถูกต้องจึงเป็ นตัวเลือกที่ 3
22. Brad: Should I look for another
job? Brad is wondering _________________________ another job.
1. if he must look for
2. how can he look for
3. what should he do for
4. whether he should look
for
5. when will he get
ตอบ 4 เพราะBrad สงสัยวำ่
ตวัเองควรจะหำงำนใหม่หรือไม่ดงัน้นั ตวัเลือกที่ถูกตอ้งคือตวัเลือกที่4 เพรำะค ำเชื่อม whether หมำยถึง ควรจะ...หรือ...
23. A: Excuse me, waitress? Can you
give me ________ fork? I’ve just dropped mine on the floor.
1. some
2. the other
3. other
4. others
5. another
ตอบ 5 เพราะตอบ another เพรำะผพู้ดู ตอ้งกำรส้อมใหม่แค่อนั
เดียวและไม่ไดเ้จาะจงว่า เป็นอันไหน
24. Jojo asked me “What time do I
have to arrive at the gallery tomorrow?”. Jojo asked me ______________________
at the gallery tomorrow.
1. when did he have to
arrive
2. what time he would
arrive
3. what time he had to
arrive
4. when had he arrived
5. what time does he arrive
ตอบ 3 เพราะประโยค reported speech ที่ถูกต้อง have
to ต้องถอยtense กลับเป็ น had to ดงัน้นั ตัวเลือกที่ 3 จึงถูกต้อง
25. Each one of the _______ was
given a piece of paper. Each _______ wrote about their future plans.
1. child / child
2. child / children
3. children / child
4. children / children
5. Both 1 and 4 are correct
ตอบ 3 เพราะประโยคแรก โครงสร้ำงที่ถูกต้อง Each of + plural nouns ส่วนประโยคที่สอง โครงสร้ำงคือ each + singular noun
26. A: _______________________ I
have to run back at my room. I forgot my cell phone. B: Sure. Go ahead. I’ll
wait right here.
1. Can someone see my cell
phone?
2. Do you mind waiting here
for just a minute?
3. Would you mind coming with
me?
4. Are you sure of not seeing
my cell phone?
5. Could you do me some favor?
ตอบ 2 เพราะB ตอบรับวำ่ จะรออยู่ดงัน้นั A จึงต้องพูดประโยคที่ขอให้ B รออยกู่ ่อน ตวัเลือกที่
2 จึง ถูกต้อง
27. What’s wrong with the drawer? I
can’t open it. It ___________ .
1. is stuck
2. is cracked
3. is buried
4. is committed
5. is drowned
ตอบ 1 เพราะเปิดลิ้นชกัไม่ได้ตวัเลือกที่เป็นไปไดม้ำกที่สุดคือลิ้นชกั
ติดดึงออกมำไม่ได้คำ ตอบจึง เป็ นตัวเลือกที่ 1
28. Non, this contract is supposed
to ________ . It is invalid without your signature.
1. have completed
2. be permitted
3. be signed
4. be validity
5. have an access
ตอบ 3 เพราะตอ้งเซ็นชื่อในสัญญำก่อน สัญญำจึงจะมีผล(valid) ค ำตอบที่ถูกต้องจึงเป็ นตัวเลือกที่ 3
29. Which situation is a
dilemma?
1. Mimi is near-sighted, and
she hates her eyeglasses. She’s thinking about having an operation on her eyes
to make a better vision. Everybody supports her to do it, especially her
boyfriend. So she’s happy to have it done.
2. Komsan’s friend is launching
a protest against the Prime Minister. Komsan is keen to join even though some
violent protesters might cause him a trouble.
3. Sudathip has been invited
to a costume party where there will be a lot of foreign guests to come. She
gets bored of her princess dress. So she decides to wear a national costume
instead.
4. Kyoko has been offered a
job as a model at a fashion magazine. But a photographer wants her to have a
nose surgery first. Kyoko is desperate for work. But the job pays well and she
could be a supermodel. She doesn’t know what to do.
5. Farida was married to
Muhammad two years ago. It was an arranged marriage made by both of their
parents. This arranged marriage didn’t take any pressure off Farida at all as
Muhammad was the man whom she had fallen in love with since high school.
ตอบ 4 เพราะdilemma คือสถำนกำรณ์ที่ท
ำให้เกิดควำมลังเลในกำรตัดสินใจ ตัวเลือกที่ 4 จึงถูกต้อง
30. My sister’s daily chores are
______ the beds, ______ the floor and _______ the ironing.
1. doing / moping / making
2. doing / moping / making
3. making / moping / doing
4. cleaning / dusting /
making
5. making / cleaning / taking
out
ตอบ 3 เพราะส ำนวนที่ถูกต้อง คือ make the bed, mop the floor และ do the ironing ดงัน้นั ตวัเลือกที่3 จึงถูกต้อง
31. Which sentence is
ungrammatical?
1. Can’t we have the toilet
cleaned for once? I hate doing it.
2. Where do you have your hair
cut? It looks great.
3. After the party, Prang had
to do all the cleaning done. Nobody helped her.
4. My brother is a technician.
I always have my computer fixed for free by him.
5. Jane was washing the dishes
when her parents came in.
ตอบ 3 เพราะตัวเลือกที่ 3 Causative form ที่ถูกตอ้งในที่น้ีคือ
make/have + something + done
33. That picture belongs to Brody.
And it’s _____ painting! No one believes that she painted _______ . It’s way
too good.
1. herself / herself
2. her / herself
3. herself / her
4. herself / hers
5. her / her
ตอบ 2 เพราะค ำตอบแรกต้องเป็ น Possessive adjective ค
ำตอบหลังต้องเป็ น reflexive pronoun (ประธำนทำ
สิ่งน้นัดว้ยตวัเอง) ตวัเลือกที่2จึงถูกตอ้ง
34. A car uses 2 liters of gasoline
to travel for a distance of 30 kilometers. If the car is filled with 25 liters
of gasoline, how many kilometers can the car travel?
1. 750 kilometers
2. 375 kilometers
3. 530 kilometers
4. 500 kilometers
5. 650 kilometers
ตอบ 2 เพราะจำกโจทย์คำ นวณไดว้ำ่ 1ลิตรวงิ่ ได้15กิโลเมตรดงัน้นัถำ้รถมีน้ำ มนั 25ลิตรรถจะวงิ่ ได้ 15
x 25 = 375 กิโลเมตร
36. Danielle often has to _______
his kid brothers and sisters when his parents go out.
1. hold back
2. look upon
3. look after
4. keep out of
5. keep up
ตอบ 3 เพราะlook after = ดูแล
37. Which sentence is incorrect
about animals?
1. Fish breathe through the
lungs.
2. Frogs breathe through the
moist skin or lungs.
3. Crocodiles skin is covered
with hard and dry scales.
4. Grizzly bears eat both
vegetable and meat.
5. Earthworms have a nose and
a pair of ears.
ตอบ 5 เพราะไส้เดือนไม่มีจมูกและหูโจทยถ์ำมถึงขอ้ควำมที่ไม่ถูกตอ้ง ตวัเลือกที่5จึงเป็นคำ ตอบที่ ถูก
38. Which choice isn’t a way to
overcome an environmental problem?
1. Settingup more forest
reserves and animal sanctuaries
2. Usingalternative sources of
energy
3. Enforce the law to stop
activities that are harmful to the environment
4. Increasing the use of
fossil fuels.
5. Promotingthe use of
recyclable waste
ตอบ 4 เพราะตวัเลือกที่3กำรเพิ่มกำรใชพ้ ลงังำนจำกซำกดึกดำ
บรรพ์ไม่ใช่วธีประหยัดพลังงำน
40. Ice cream melts unless you
_________ in the fridge.
1. would keep
2. keep
3. wouldn’t keep
4. don’t keep
5. didn’t keep
ตอบ 2 เพราะไอศกรีมจะละลำยถำ้เรำไม่เก็บไวใ้นตูเ้ยน็ unless = ถำ้ไม่กริยำที่อยใู่ นอนุประโยคที่ ตำมมำจึงตอ้งเป็นรูปบอกเล่ำเท่ำน้น
42. Which plot belongs to a horror
book genre?
1. The house is haunted by the
spirits of two young lovers.
2. A whole family is kidnapped
and taken in a spaceship to another planet.
3. It’s set in the time of
Renaissance period and tells the story of a poor family in London.
4. The lovers were separated
when they are 17 and have never met each other again for 20 years.
5. The fact revealed itself in
the final scene where we found the investigator was truly the murderer.
ตอบ 1 เพราะhorror คือเรื่องรำวแนวเขยำ่ ขวญั คำ
ตอบจึงเป็นตวัเลือกที่1
45. Which pair of words are
homophones?
1. tear (n.) / tear (v.)
2. sale / sail
3. who’s / whose
4. organisation
/organization
5. bound /pound
ตอบ 2 เพราะHomophone คือคำ
ที่มีรูปต่ำงกนัแต่ออกเสียงเหมือนกนั ตวัเลือกที่2จึงถูกตอ้ง
47. Which two statements are
generally true about crime?
1. Eyewitnesses often identify
the wrong criminals because of bad light.
2. The long distance from the
crime scene doesn’t affect the suspect identification by eyewitnesses.
3. DNA evidence has helped
clear many people who falsely convicted.
4. It’s always easier to remember
the appearance of the criminals from another race.
5. The crime scene
investigation is fullyresponsible by the medical staffs, not a matter of a
police.
ตอบ 1และ 3 เพราะตวัเลือกที่1ถูกตอ้ง เพรำะแสงที่มืดสลวัจะทำ ใหพ้ ยำนมองเห็นผตู้อ้งหำไดไ้ม่ชดั ตัวเลือกที่ 3 ถูกต้อง เพรำะกำรตรวจ DNA (รหสั พนัธุกรรม) ช่วยใหผ้ ตู้อ้งสงสัยพนจำก ้ ขอ้กล่ำวหำมำแลว้เป็นจำ นวนมำก ตวัเลือกที่2ผิดเพรำะระยะห่ำงจำกสถำนที่เกิดเหตุยอ่ มส่งผลใหพ้ ยำนมองเห็นผตู้อ้งหำ ไดไ้ม่ชดั ตวัเลือกที่4ผิดเพรำะกำรช้ีตวัผตู้อ้งสงสัยต่ำงเช้ือชำติเผำ่ พนัธุ์ซ่ึงมีโครงสร้ำงของรูปร่ำง หนำ้ตำต่ำงจำกเรำยอ่ มทำ ไดย้ำกกวำ่ กำรช้ีตัวผู้ต้องหำ ที่มีเช้ือชำติเผ่าพันธุ์เดียวกับเรา
ตอบ 1และ 3 เพราะตวัเลือกที่1ถูกตอ้ง เพรำะแสงที่มืดสลวัจะทำ ใหพ้ ยำนมองเห็นผตู้อ้งหำไดไ้ม่ชดั ตัวเลือกที่ 3 ถูกต้อง เพรำะกำรตรวจ DNA (รหสั พนัธุกรรม) ช่วยใหผ้ ตู้อ้งสงสัยพนจำก ้ ขอ้กล่ำวหำมำแลว้เป็นจำ นวนมำก ตวัเลือกที่2ผิดเพรำะระยะห่ำงจำกสถำนที่เกิดเหตุยอ่ มส่งผลใหพ้ ยำนมองเห็นผตู้อ้งหำ ไดไ้ม่ชดั ตวัเลือกที่4ผิดเพรำะกำรช้ีตวัผตู้อ้งสงสัยต่ำงเช้ือชำติเผำ่ พนัธุ์ซ่ึงมีโครงสร้ำงของรูปร่ำง หนำ้ตำต่ำงจำกเรำยอ่ มทำ ไดย้ำกกวำ่ กำรช้ีตัวผู้ต้องหำ ที่มีเช้ือชำติเผ่าพันธุ์เดียวกับเรา
แบบทดสอบ
Part 1 Dialogues
Student: What do I have to do
if I want to withdraw from the course?
นักเรียน: ผมต้องทำยังไงครับ
ถ้าต้องการถอนวิชาเรียน
Teacher: If you want to
(1)________ the course, you have togo to the College
Office.
คุณครู: ถ้าต้องการจะ _____1_____ วิชาเรียน
คุณต้องไปติดต่อที่สำนักงานวิทยาลัย
1. 1) do "ทำ"
2) drop "ยกเลิก"
3) take "ใช้เวลา"
4) attend "เข้าร่วม"
5) complete "ทำให้สมบรูณ์"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 2
เพราะข้อนี้ดูประโยคจากที่นักเรียนบอกว่าจะถอนรายวิชา
ดังนั้นคำตอบต้องเป็นตัวเลือกที่ 2 drop ซึ่งแปลว่า
นักเรียนคนนี้จะยกเลิกการเรียนวิชานี้
2. Which statement can
be inferred from the pie charts?
อะไรเป็นจุดประสงค์ของสถาบันในการให้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลอื่นๆ
1) An African is more
prone to die from Malaria than a Japanese.
"เพื่อให้เกียรติกับองค์กรในเครือ"
2) Communicable disease
is illustrated as the major cause of death in the
first world.
"เพื่อให้การศึกษาในมหาวิทยาลัยมีชีวิตชีวา"
3) An almost equal
number of people in both regions die from
major and minor wounds.
"เพื่อเร่งเป้าหมายทางการแพทย์
และทำให้สาคัญมากขึ้น"
4) Accidents and
injuries are not causes of concern in both developed and
develcping rcgions of the world of the world.
"เพิ่มความสนใจและการเข้ามีส่วนร่วมด้านสาธารณสุขที่ดี"
5) A small number of
people die from communicable diseases in both industrialized and
nonindustrialized
worlds.
"เพื่อทำให้การศึกษา
และ วิจัย แข็งแกร่งในเครือองค์กร"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 5 เพราะข้อนี้จากข้อมูลที่ให้มา
แสดงว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้เด่นเรื่องการวิจัยค้นคว้า และ keyword ที่บอกว่า bring research and education to life = make research
and education vital ทำให้โดดเด่น มีชีวิตชีวา
ซึ่งในบริบทนี้หมายความว่าทำให้การผลงานการวิจัยของโรงพยาบาลนั้นๆ โดดเด่น
น่าสนใจมากขึ้น ดังนั้นไม่ต้องคิดนานเลย ตอบตัวเลือกที่ 5 bring
somebody/something to life (idiom) = ทำให้โดดเด่น, มีชีวิตชีวา
Tom: Are you
going to phone Patricia again?
ทอม: เธอจะโทรไปหาแพทริเชียอีกรอบมั้ย
Peter: (2)_______
I've left five messages for her, and she's never replied .
ปีเตอร์: _______2_________ ฉันฝากข้อความไป 5 รอบแล้ว และเธอก็ยังไม่ตอบกลับมาเลย
3. 1) I haven
't. "ฉันยังไม่ได้โทร"
2) I'd
bothered. "ฉันไม่น่าจะโทรไปเลย"
3) She
doesn't want to. "ฉันไม่น่าจะโทรไปเลย"
4) It's
really no bother. "มันไม่รบกวนเลยจริงๆ"
5) I
can ' t be bothered. "ฉันไม่อยากจะโทรไปแล้ว"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 5 เพราะข้อนี้ต้องรู้สำนวนกัน
เรามาตัดตัวเลือกกัน ตัดตัวเลือก 1 และ 2 ออกก่อนเลย เพราะปีเตอร์ บอกว่าฝากข้อความไว้หลายครั้งแล้ว
แสดงว่าเขาโทรไปแล้ว แต่ไม่มีคนรับสาย
และในเรื่องก็ไม่ได้บอกว่าแพทริเซียไม่อยากรับโทรศัพท์ ส่วนตัวเลือกที่ 3 ก็ไม่ถูกความหมาย I’d bothered มีความหมาย = I
bother แต่ใช้ในรูปอดีต ให้ความหมายในเชิงว่า ไม่น่าโทรไปเลย
(ไม่อยากทำ แต่ทำไปแล้ว) ซึ่งไม่ตรงกับบริบทนี้ ดังนั้นเหลือตัวเลือกที่ 4 และ 5 มาดูตัวเลือกที่ 4 It’s really no
bother ใช้ตอบรับคำขอบคุณ หรือพูดเมื่อเวลามีใครเกรงใจเรา
มีความหมายว่า ไม่รบกวนอะไรเลย เรายินดีทำให้ ดังนั้นเลือกข้อ 5 เพราะว่าสำนวน I can’t be bothered ให้ความหมายว่า
ไม่อยากจะทำตอนนี้ (เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ )
ซึ่งในบริบทก็หมายความว่าปีเตอร์ โทรและฝากข้อความไปหลายรอบแล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ แสดงว่าเขาก็ไม่อยากจะโทรไปอีกแล้ว I can’t
be bothered (idiom) = ไม่อยากทำ (เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ) It’s
no bother (idiom) = แสดงความยินดีที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
James: What did you think of
your brother's new girlfriend?
เจมส์: เธอคิดว่าแฟนใหม่ของพี่ชายเธอเป็นยังไงบ้าง
Jane: ( 4)_________ I
got on with her very well.
เจน: _________4________ ฉันเข้ากับเธอได้ดี
4. 1) She's fantastic.
"เธอเยี่ยมมาก"
2)
She looks awful. "เธอดูแย่"
3)
She's lost weight. "เธอน้าหนักลด"
4)
She's in her thirties. "เธออยู่ในช่วงอายุ 30 ปี"
5)
She has beautiful red hair. "เธอมีผมสีแดงสวย"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 1 เพราะข้อนี้ดู keyword ที่คำว่า What do you think of ____ เป็นสำนวนถามความคิดเห็น
ข้อนี้เจมส์ถามว่า คิดว่าแฟนใหม่ของพี่ชายเป็นยังไง และดูคำตอบที่ตามมาแสดงว่า
เจนจะต้องชอบเธอแน่ๆ get on with someone well แปลว่า
เข้ากันได้ดี ดังนั้น ตัดตัวเลือกที่ 2 ออกก่อน
ส่วนตัวเลือกที่ 3 , 4 และ 5 ความหมายก็ไม่เกี่ยวข้องกับในเรื่องเลย
ตอบไม่ตรงคำถาม จึงตอบ ตัวเลือกที่ 1 fantastic แปลว่า
สุดยอด ยอดเยี่ยม เป็นการกล่าวชมนั่นเองค่ะ
get on with someone (phr. v.)
= เป็นเพื่อน, เข้ากันกับ
fantastic (adj.) = ยอดเยี่ยม
Kevin: Hi, Manee.
(5)__________
เควิน: สวัสดี มณี ___________5______________
Manee: Hi, I'm
great. I'm going to visit my uncle in Songkhla.
มณี: สวัสดีจ้า เควิน
ฉันสบายดี ฉันกาลังจะไปเยี่ยมคุณลุงที่สงขลา
Announcement
: "Ladies
& Gentlemen. Attention please! Train 2637,
Hualumpong Express, bound
for Hadyai will leave at 21.30
hours from platform 3."
เสียงประกาศ:
"ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขบวนรถไฟหมายเลข 2637,
รถไฟสายด่วน
หัวลำโพง ปลายทางสงขลา จะออกเวลา 21.30 นาฬิกา ที่ชานชาลาหมายเลข 3"
Manee: I'm sorry, Kevin. (
6)__________I'll see you later. There
is
an announcement about
your train also. Bye!
มณี: ขอโทษด้วย เควิน___________6______________แล้วพบกันใหม่นะ
มีประกาศรถไฟขบวนของเธอด้วยเหมือนกันนะ ลาก่อนจ้ะ
5. l) How's it
like? "มันเป็นยังไงบ้าง"
2) How
about you ? "แล้วเธอล่ะ"
3) H ow
do you do? "สบายดีไหม"
4) How
have you been ? "เธอเป็นยังไงบ้าง"
5) How
long have you been here? "เธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 4 เพราะอ่านจากบทสนทนาคงพอจะเดาได้ว่า
สองคนนี้ต้องรู้จักกันมาก่อน และบังเอิญพบกันที่สถานีรถไฟ ดังนั้น ประโยคแรก
ที่เควินถามมณี น่าจะถามว่า สบายดีไหม ดังนั้นตัดตัวเลือกที่ 1 และ 2 จึงไม่เหมาะสม ส่วนตัวเลือกที่ 5 ความหมายก็ไม่เข้ากับบริบทนี้นะคะ ดังนั้นเหลือตัวเลือกที่ 3 และ 4 ข้อนี้ ต้องรู้สำนวน How do you do? นิยมใช้ทักทายเฉพาะเวลาเจอกันครั้งแรกเท่านั้น แต่ในที่นี้
ทั้งสองคนรู้จักกันมาแล้ว จึงควรถามว่า How have you been? เป็นประโยคทักทายสำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ดังนั้นจะตอบตัวเลือก 4
6. 1 ) Keep your time.
"รักษาเวลา"
2)
Someone is calling me. "มีคนโทรเข้ามา"
3 )
You can wait for me here. "เธอรอฉันอยู่ที่นี่ก็ได้นะ"
4)
My train is always delayed. "รถไฟของฉันมาช้า"
5)
My train is about to leave. "รถไฟของฉันกาลังจะออก"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 5 เพราะมีประกาศว่าขบวนรถไฟไปสงขลาจะออกเดินทางแล้ว
แสดงว่า มณีจะต้องรีบไปขึ้นรถไฟ ดังนั้นตัวเลือกที่ 4 ตัดออกไปก่อนเลย
เพราะรถไฟไม่ได้มาช้า ส่วนตัวเลือกที่ 3 ก็ไม่ถูกต้อง
เพราะยังไม่มีคนโทรเข้ามาหาเธอเลยนะคะ และตัวเลือกที่ 1 keep time แปลว่ารักษาเวลา ความหมายไม่เข้ากับในบริบทนี้เลย และตัวเลือก 4 ก็ไม่ควรพูด เพราะมณีกำลังจะไปขึ้นรถไฟแล้ว ดังนั้นเธอคงไม่ให้เพื่อนรอ
ดังนั้นข้อที่ถูกต้องคือ ตัวเลือกที่ 5 มณีจะต้องบอกเพื่อนว่ารถไฟกำลังจะมาแล้ว
to be about to do something (idiom) = กำลังจะทำบางสิ่งบางอย่าง
platform (n.) = ชานชาลา
Travel
agent:
Hello.
Worldwide Travel. Can I help you?
บริษัททัวร์:
สวัสดีค่ะ เวิลด์ไวด์ แทรเวิล ยินดีให้บริการค่ะ
Harris:
Hello. Good
morning. Iwant to book a ticket to Chiang
Mai.
แฮร์ริส:
สวัสดีครับ ผมต้องการจองตั๋วไปเชียงใหม่ครับ
Travel agent
:
(7)___________
บริษัททัวร์: ________7__________
Harris:
Next Monday.
แฮร์ริส:
วันจันทร์หน้าครับ
Travel agent
:
Economy
or business?
บริษัททัวร์:
ชั้นประหยัดหรือชั้นธุรกิจดีคะ
Harri s:
(8)___________
แฮร์ริส: _________8________
Travel
agent:
OK. Please
wait. Let me check ... Yes. Tickets are available.
(9)__________
บริษัททัวร์:
ได้ค่ะ ขอเช็คดูก่อนนะคะ ……
ตั๋วยังมีว่างอยู่ค่ะ _________9________
Harris:
Please do.
How much is for the round trip?
แฮร์ริส:
ขอบคุณครับ ไป-กลับ ราคาเท่าไรครับ
Travel
agent :
Just a
minute ... That will be Baht 5,600.
บริษัททัวร์:
รอสักครู่นะคะ.... รวมทั้งหมด 5,600บาทค่ะ
Harris
:
OK.
(10)__________.Thank you.
แฮร์ริส:
ตกลงครับ ________10_________
ขอบคุณ
Travel
agent :
You 're
welcome.
บริษัททัวร์:
ยินดีค่ะ
7 .
1) When will you start from here? "คุณจะเริ่มจากที่นี่เมื่อไร"
2) When will you buy the ticket ? "คุณจะซื้อตั๋วเมื่อไรคะ"
3) When do you want to travel ? "คุณจะเดินทางเมื่อไรคะ"
4) When will you collect the ticket ? "คุณจะมารับตั๋วเมื่อไรคะ"
5) When do you want to come back ? "คุณจะเดินทางกลับเมื่อไรคะ"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 3 เพราะในบริบทนี้ ลูกค้าบอกว่าจะจองตั๋วไปเชียงใหม่
ดังนั้นพนักงานควรจะถามรายละเอียด วันออกเดินทาง ตัวเลือกที่ 1 ตัดออกเลย เพราะความหมายไม่เกี่ยวข้องเลย
ส่วนตัวเลือกที่ 4 และ 5 ก็ไม่ถูกต้องเพราะลูกค้ายังไม่ได้ซื้อตั๋วเดินทางเลย
ส่วนตัวเลือกที่ 2 ถามไม่ตรงคำถาม สถานการณ์นี้เราควรจะถามเวลาออกเดินทางของลูกค้า
เพื่อจะจองตั๋วได้ถูกต้อง และลูกค้ายังไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเลยนะคะ
จึงไม่ควรถามว่าจะซื้อตั๋วเมื่อไรค่ะ
8. 1)
It's my business. "เรื่องของผม"
2) Economy, please. "ราคาประหยัดครับ"
3) Mind your business. "ไม่ใช่เรื่องของคุณ"
4) I am a business person. "ผมเป็นนักธุรกิจครับ"
5) Here's my business card. "นี่คือนามบัตรของผมครับ"
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 2 เพราะพนักงานถามว่า จะจองตั๋วแบบชั้นประหยัดหรือชั้นธุรกิจ
ดังนั้นขอตัดตัวเลือกที่ 1
และ 4 ออกไปเลย
เพราะไม่สุภาพ และไม่เหมาะสมที่จะพูดในสถานการณ์นี้
เนื่องจากเราต้องการให้บริษัทจองตั๋วให้ จึงต้องยินดีที่จะให้ข้อมูลต่างๆ
ส่วนตัวเลือกที่ 4 และ 5 ก็ตอบไม่ตรงคำถาม
ดังนั้นต้องตอบตัวเลือกที่ 2 คือ
จะจองตั๋วราคาประหยัด
9.
1) May I have your ticket? "ขอดูตั๋วของคุณหน่อยนะคะ"
2) Shall I buy you a ticket? "ฉันควรจะซื้อตั๋วให้คุณไหมคะ"
3) Shall I reserve your ticket?
"จะให้จองตั๋วไว้เลยไหมคะ"
4) Do you want to sell the ticket?
"จะขายตั๋วไหมคะ"
5) Do you want to give me your ticket? "คุณจะให้ตั๋วกับดิฉันไหมคะ "
เฉลย ตอบตัวเลือกที่ 3 เพราะวิเคราะห์จากประโยคก่อนหน้านี้ แสดงว่าเจ้าหน้าที่เช็คให้แล้ว
และตั๋วยังว่างอยู่ ดังนั้น จึงควรจะถามลูกค้าว่า จะจองตั๋วไว้เลยมั้ย
ตัดตัวเลือกที่ 1, 4 และ 5 ออกไป
เพราะความหมายไม่เหมาะสมเลยค่ะ ส่วนตัวเลือกที่ 2 ก็ไม่เหมาะสมกับบริบทนี้ พนักงานคงไม่ไปถามความเห็นลูกค้าว่า
ควรจะซื้อตั๋วให้ไหม ดังนั้นจึงต้องตอบ 3 เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจว่า
จะจองเลยไหม ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
lO.
1) I'll drop you here. "ผมจะส่งคุณที่นี่"
2) I will fly tomorrow, "ผมจะบินพรุ่งนี้"
3) You should confirm it. "คุณจะต้องยืนยันอีกครั้ง"
4) I'll drop by in an hour. "คุณจะต้องยืนยันอีกครั้ง"
5) You should drop me a line. "คุณควรเขียนจดหมายถึงผม"
เฉลย ตัวเลือกที่ 4 เพราะข้อนี้ต้องรู้สำนวนกันด้วย
ในบริบทนี้ ลูกค้าให้พนักงานจองตั๋วไว้ให้แล้ว
ดังนั้นขั้นตอนสุดท้ายก็คงจะได้ไปจ่ายเงิน ตัวเลือกที่ 1, 3 ตัดออกก่อนเลย
เพราะความหมายไม่เข้ากับบริบทนี้เลย รู้สำนวนในข้อ 5 ไหม drop
someone a line แปลว่า
เขียนจดหมายถึง ดังนั้นความหมายก็ไม่เหมาะสมเช่นกันค่ะ ส่วนตัวเลือกที่ 2 ไม่ถูกต้อง
เพราะลูกค้าบอกไปแล้วว่าจะเดินทางวันจันทร์หน้า ตัวเลือกที่ 4 จึงถูกต้องที่สุด สำนวน drop by แปลว่า แวะไปหา ซึ่งก็ตรงกับความหมายนี้
หลังจากลูกค้าจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็น่าจะแวะเข้าไปจ่ายเงิน
round trip
(n.) = ไป-กลับ
drop by
(phr. v.) = แวะไปหา, ไปเยี่ยม
Part II Conversations
Part II Conversations
Bill:
Mika, vou look tired .
บิล: ไมก้า
คุณดูเหนื่อยจัง
Mika: Yeah.! feel like (11) -------- So tired from (12)-------- ..
ไมก้า: ช่าย
ผมรู้สึกเหมือน _______
11________ รู้สึกเหนื่อยจาก
_______ 12
________
Supachai : You mean you went to the fitness?
ศุภชัย: คุณหมายถึงไปเล่นฟิตเนสหรอ
Mika: (13)________ correct your English, but 'go to the fitness'is Thailish. Fitness is a noun thatshould normally be combined with other noun s, so you say "Go to the fitness center" or"follow a fitness routine."
ไมก้า: _______ 13________แก้ภาษาอังกฤษของคุณหรอกนะ แต่ ‚go to the fitness‛ เป็น
ภาษาอังกฤษแบบไทย
‚fitness‛ เป็นคานาม และจะต้องประสมกับคานามคาอื่นๆ ดังนั้น
คุณต้องพูดว่า
‚go to the fitness
center‛ หรือ ‚follow a fitness routine‛
(ออกกาลังกายเป็น ประจำทุกวัน)
Supachai : Sorry. my English needs work. Anyway, (14) _.How
often are you working out?
ศุภชัย:
ขอโทษด้วย ภาษาอังกฤษของผมต้องพัฒนาว่าแต่ว่า _______ 14________ คุณออก
กำลังกายบ่อยแค่ไหน
Mika: 6 or 7 days a week. I want to get back into shape.
ไมก้า: 6-7 วันต่อสัปดาห์ ผมอยากจะมีหุ่นดีเหมือนเดิม
Bill: But yo u already look as fit as
a fiddle. You need ( 15) .
บิล:
แต่คุณก็ดูแข็งแรงและสุขภาพดีอยู่แล้วนี่นา _______ 15 ________
Supachai: Yeah , try to be like me. I don't need .the gym. I'm already thin.
(16)_______.
ศุภชัย: ช่ายย
ลองดูอย่างผมสิ ผมไม่ต้องไปเล่นกีฬาหรอก ผมน่ะผอมอยู่แล้ว _______ 16________
Mika : Actually you are far from it. Just because you are
thin, it
doesn't mean you are fit. Many people
who are thin are also
(17)__________.
ไมก้า: จริงๆ แล้วคุณน่ะ ยังไกลจากคานั้น ถึงคุณจะผอม ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะแข็งแรง และสุขภาพดี หลายๆ คนที่ผอมก็ยัง_______ 17________
Supachai: So why are yOU working out so much Mika ?
ศุภชัย:
แล้วทาไมคุณถึงออกกาลังกายหนักขนาดนั้นละ ไมก้า
Mika:
I plan o n entering the Phuket triathlon in the next three months.
ไมก้า:
ผมจะลงแข่งขันงานภูเก็ตไตรกีฬา อีกสามเดือนข้างหน้า
Bi11: Wow, (18) . That is a major competition, isn't it?
บิล: ว้าว _______ 18 ________ มันเป็นการแข่งขันที่ใหญ่ทีเดียวใช่ไหม
Mika: Yeah,I need to be able to complete a 1.8 km swim, followed by. a
55 km bike ride and 12 km run. .
ไมก้า:
ใช่แล้ว ผมจะต้อง ว่ายน้า 1.8
ก.ม และ ปั่นจักรยานอีก 55 ก.ม ต่อด้วยวื่งอีก 12 ก.ม
Bi11: Wow, (19) . I didn't know you were such a fitness nut.
It makes me want to do something about (20) .
บิล: โอ้ _______ 19________ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณน่ะ ก็คลั่งกีฬาเอามากๆ มันทาให้ผม
รู้สึกอยากทาอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ_______ 20________
11. 1) I am a bit offcolor.
ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย
2) I'm on my last legs.
ผมเหนื่อยมาก
3) I am back on my feet.
ผมเพิ่งหายป่วย
4) 1add more fuel to the fire.
ผมใส่ไฟ
5) I put my foot in the mouth.
ผมยั่วให้คนโกรธ
เฉลยตัวเลือกที่ 2 เพราะข้อนี้สำนวนเต็มไปหมดเลยนะคะ น้องๆ มาดูความหมายแต่ละตัวกันเลยดีกว่า ตัวเลือก 1 ‚I am a bit off color” แปลว่า รู้สึกป่วย แต่ในเรื่องเขาไม่ได้ป่วยนะคะ แค่ดูเหนื่อย หมดแรง ส่วนตัวเลือกที่ 3”I am back on my feet” แปลว่า ฟื้นไข้ ข้อนี้ก็ความหมายไม่เหมาะสมเช่นกันค่ะ ตัวเลือกที่ 3 และ 4 ยิ่งไปกันใหญ่เลยค่ะ สำนวน ‚to add more fuel to the fire‛ แปลว่า ใส่ไฟ (ทำให้เกิดความขัดแย้ง) และ ‚put my foot in the mouth‛ แปลว่า พูดอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด ทำให้คนโกรธ หรือเสียใจ ดังนั้นข้อที่ถูกต้องที่สุดคือ ตัวเลือกที่ 2 to be on last legs แปลว่า เหนื่อยสุดๆ หมดแรง be on your last legs (idiom) = เหนื่อย, หมดแรง be off color (idiom) = รู้สึกป่วย back on one's feet (idiom) = หายป่วย ฟื้นไข้ ฟื้นจากสถานการณ์ที่ไม่ดี put one's foot in one's mouth (idiom) = พูดสิ่งใดไปโดยไม่ยั้งคิด ทำให้คนโกรธ หรือเสียใจ
12. 1) hitting the gym
ไปออกกำลังกาย
2) going to rouch base
ติดต่อสื่อสาร
3) zigzagging my way
เดินซิ๊กแซ๊ก
4) fighting a lose battle
พยายามเต็มที่แต่ไม่สำเร็จ
5) dashing up to cloud no.9
กำลังมุ่งตรงไปสู่ความสุขสูงสุด
เฉลย ตัวเลือกที่ 1 เพราะข้อนี้น้องๆ ต้องรู้สำนวนกันอีกแล้วนะคะ พี่แนนตัดตัวเลือกที่ 3 ออกไปก่อน ข้อนี้เป็น choice หลอกนะคะ ความหมายไม่เกี่ยวกับบริบทเลย ส่วนตัวเลือกที่ 4 ‚fight a lose battle‛ แปลตรงๆ ว่า ต่อสู้ในสงครามที่พ่ายแพ้ ซึ่งก็หมายถึง เราทำเต็มที่แล้วแต่ล้มเหลวนั่นเองค่ะ ข้อนี้ก็ความหมายไม่เหมาะสมเค่ะ ส่วนตัวเลือกที่ 5 ก็ไม่ถูกต้อง สำนวน to be on cloud nine แปลว่ามีความสุขมากๆ ดังนั้นก็เหลือแต่ตัวเลือกที่ 1 และ 2 พี่แนนขอตอบตัวเลือกที่ 1 hit the gym = go to the gym ไปออกกำลังกายค่ะ ส่วนตัวเลือกที่ 2 สำนวนนี้มีความหมายเหมือน get in touch เลยค่ะ ความหมายจึงไม่เหมาะสม hit the gym (idiom) = ไปออกกำลังกาย to be on cloud nine (idiom) = มีความสุขมากๆ touch base (idiom) = ติดต่อสื่อสาร
13. 1) l hate to
ผมไม่อยากจะทำ
2) I'd love to
ผมยินดีที่จะทำ
3) I'd rather to
ผมน่าจะทำ
4) I'd better not to
ผมไม่น่าจะทำ
5) I'm afraid not to
ผมเกรงว่าไม่ควรทำ
เฉลยตัวเลือกที่ 1 เพราะสังเกตบริบทตรงนี้นะคะ เขาเห็นเพื่อพูดผิดไวยากรณ์ จึงแก้ไขให้ ข้อนี้คำตอบที่ถูกต้องคือ 1 I hate to เพราะเป็นการพูดออกตัวก่อน ว่าไม่อยากจะมาคอยจับผิดภาษาอังกฤษเธอหรอกนะ แต่ที่เธอพูดมันผิดไวยากรณ์ ส่วนข้อ 2 ไม่ถูกต้องเพราะมี but เชื่อมอยู่ ดังนั้นประโยคหน้าและหลังต้องขัดแย้งกัน ส่วนตัวเลือก 3,4,5 ไม่ถูกต้อง เพราะว่าเขาได้แก้ไขไวยากรณ์ให้เพื่อนไปแล้ว ถ้าพูดทั้งสามตัวเลือกนี้จะแปลว่า ไม่ได้ทำนะคะ
14. 1) you are boring
เธอน่าเบื่อ
2) you are so mean
เธอใจร้าย
3) you do look tired
เธอดูเหนื่อยจริงๆ
4) you look iargr than life
เธอดูโดดเด่นมาก
5) you look on a bright side
เธอมองโลกในแง่ดี
เฉลย ตัวเลือกที่ 3 เพราะดูประโยคข้างหลังที่ถามว่า เธอออกกำลังกายบ่อยแค่ไหน ดังนั้นพี่แนนขอตัดตัวเลือก 1,2,5 ออกเลยนะคะ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับบริบทนี้เลย เหลือตัวเลือก 3 และ 4 พี่แนนขอตอบตัวเลือกที่ 3 เลยค่ะ เพราะน้องๆ สามารถเดาได้จากบริบทรอบข้างที่บอกว่า เจ้าตัวบอกว่าเหนื่อยหมดแรง ดังนั้นจึงควรตอบตัวเลือกที่ 3 เพราะเป็นการยํ้าว่าเขาคงจะดูเหนื่อยมากจริงๆ ส่วนตัวเลือกที่ 4 และ ก็ไม่เหมาะสมในสถานการณ์นี้นะคะ เป็นคำชมมากกว่าค่ะ
15. 1) to take it easy ให้ใจเย็นๆ (อย่าหักโหม) 2) to take it for fun เห็นเป็นเรื่องสนุก
3) to take it seriously เอาจริงเอาจังหน่อย 4) to take it for granted มองข้าม
5) to take it as a grain of salt ฟังหูไว้หู
เฉลย ตัวเลือกที่ 1 เพราะ ลองดูประโยคข้างหน้า ที่เค้าบอกว่า เธอก็ดูสุขภาพดีอยู่แล้วนะ แสดงว่าเขาไม่อยากให้เพื่อนหักโหม ออกกำลังกายมากเกินไป ดังนั้นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดก็คือ ตัวเลือก 1 Take it easy สำนวนนี้ มีความหมายว่า ใจเย็นๆ สบายๆ อย่าซีเรียส take it easy (idiom) = ใจเย็นๆ, อย่าเครียด take it for granted (idiom) = มองข้าม ไม่ใส่ใจ take it as a grain of salt (idiom) = ฟังหูไว้หู
16. 1) I am an old flame. ผมเป็นถ่านไฟเก่า
2) I am an early bird. ผมมาก่อน
3) I am a bl aze of publicity. ผมอยู่ในกระแสสังคม
4) I am a ripper of laughter. ผมเป็นเสียงหัวเราะ
5) I am the picture of health. ผมมีสุขภาพดี
เฉลย ตัวเลือกที่ 5 เพราะดูจากคำพูดรอบข้างน้องๆ ก็พอจะเดาความหมายว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับร่างกายหรือสุขภาพ ตัวเลือกที่ 4 ตัดออกไปเลยนะคะ สำนวนนี้ไม่มีนะคะ ข้อสอบหลอกมาค่ะ ที่ถูกต้องเป็น ripple of laughter แปลว่า เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาระลอกนึง ส่วน ตัวเลือก 1, 2, 3 ความหมายไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นต้องตอบตัวเลือกที่ 5 I am the picture of health แปลว่า มีสุขภาพดี early bird (idiom) = คนที่ตื่นเช้า หรือคนที่มาก่อน a blaze of publicity (idiom) = กระแสสังคม the picture of health (idiom) = มีสุขภาพดี
17. 1) out and out โดยสิ้นเชิง 2) down at heel ดูย่าแย่ ซอมซ่อ
3) down and out สิ้นเนื้อประดาตัว 4) strong and finn แข็งแรง มีสุขภาพดี
5) weak and out of shape อ่อนแอ และสุขภาพไม่ดี
เฉลย ตัวเลือกที่ 5 เพราะข้อนี้ต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้วเลยนะคะ น้องๆ ดูจาก keyword ตรงประโยคที่ว่า you are far from it ดูจากบริบทรอบข้างก็สามารถเดาได้ว่าเป็นความหมายในเชิงลบ และต้องเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ เพราะเค้ากำลังพูดถึงประเด็นนี้กันอยู่ ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ ตัวเลือกที่ 5 ค่ะ out and out (adj.) = โดยสิ้นเชิง, ทั้งหมด down at heel (idiom) = ดูยํ่าแย่, ซอมซ่อ down and out (idiom) = สิ้นเนื้อประดาตัว
18. 1) poi nt taken ผมเข้าใจแล้ว 2) it's a big 'if ไม่น่าเป็นไปได้
3) you 're kidding จริงๆ หรอ 4) over my dead body . ไม่มีทาง
5) it's out of the question เป็นไปไม่ได้
เฉลย ตัวเลือกที่ 3 เพราะ ข้อนี้สำนวนกระจายเลยค่ะ น้องๆ ตัดตัวเลือกที่มีความหมายเหมือนกันออกไปก่อนนะคะ ตัวเลือก 4 และ 5 มีความหมายใกล้เคียงกัน แปลว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางจะเกิดขึ้น ส่วนตัวเลือกที่ 2 ก็คล้ายๆกันค่ะ แต่ความหมายจะ soft ลงมานิดนึง แปลว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เหลือตัวเลือกที่ 1 และ 3 น้องๆ ต้องสังเกตอารมณ์ของประโยคหน่อยนะคะ ข้อนี้เขาบอกว่าจะไปแข่งไตรกีฬา ถือเป็นเรื่อง surprise และคำอุทานก่อนหน้านี้ ก็ใช้ว่า wow เราวิเคราะห์ได้ว่า ผู้พูดต้องตกใจนิดๆ ค่ะ จึงน่าจะพูดว่า You are kidding แปลว่า พูดจริงอ่ะ จริงหรอเนี่ย ส่วน point taken แปลว่า เข้าใจละ มีเหตุผลนะ ใช้พูดเมื่อเราเห็นด้วย หรือยอมรับในความคิดเห็นของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งในตัวเลือกนี้ดูไม่เข้ากับบริบทค่ะ ดังนั้นต้องตอบตัวเลือกที่ 3 ข้อสอบ Speaking ยากตรงที่น้องๆ ต้องรู้ความหมายของสำนวน และสามารถนำมาใช้ให้ถูกบริบท และที่สำคัญ น้องๆ ต้องสังเกต Tone ของบทสนทนาด้วยค่ะ
point taken (idiom) = เข้าใจแล้ว, ที่พูดมาก็มีเหตุผลนะ
it’s a big if (idiom) = ไม่น่าจะเป็นไปได้
you are kidding (idiom) = พูดจริงหรอ, ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย
over my dead body (idiom) = ไม่มีทางหรอก
it’s out of the question (idiom) = เป็นไปไม่ได้
19. 1) that is rather awful นั่นดูแย่มากเลย
2) that is real l y impressive น่าประทับใจมาก
3) that is quite indispensable เป็นเรื่องที่จำเป็นมากเลย
4) that is siightly exaggerated ดูเกินจริงไปหน่อย
5) that is more or l ess substantial มันมีสาระไม่มากก็น้อย
เฉลย ตัวเลือกที่ 2 เพราะข้อนี้ไม่ยากนะคะ น้องๆ ดูจากที่เขาพูดมาแล้วทั้งหมดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย และฟิตร่างกายไปลงแข่งขัน น่าจะพอจับนํ้าเสียงได้ว่าสิ่งที่เพื่อนจะพูด น่าจะเป็นการชื่นชม และประทับใจนะคะ ดูจากคำอุทาน wow และประโยคที่ต่อท้ายมา ที่บอกว่า ‚ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า นายก็บ้าออกกำลังกายเหมือนกัน‛ ดังนั้นมีข้อเดียวที่เหมาะสมมากๆ เลยคือ ตัวเลือกที่ 2 that is really impressive indispensable (adj.) = สำคัญมาก substantial (adj.) = มาก, มีเนื้อหาสาระ, แข็งแรง
20. 1) a twist in my arm การบังคับ กดดัน 2) the heart ·of hearts จากก้นบึ้งของหัวใจ
3) my own spare tyre พุงของฉัน 4) the apple of my eye แก้วตาดวงใจ
5) the back·of m y hand คุ้นเคย
เฉลยตัวเลือกที่ 3 เพราะ ข้อนี้สำนวนน่าสนใจหลายคำเลยค่ะ มากำจัดจุดอ่อน ตัดตัวเลือกที่ไม่เกี่ยวข้องออกก่อนนะคะ พี่แนนขอตัดตัวเลือก 2, 4 ออกก่อนเลยค่ะ เพราะความหมายไม่เหมาะสมในบริบทนี้เลยค่ะ ส่วนตัวเลือก 1 ใช้ในสถานการณ์ ที่เรารู้สึกโดนบังคับให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือรู้สึกกดดัน ส่วนตัวเลือกที่ 5 สำนวนนี้ นิยมใช้คู่กับ know .. to know something like the back of my hand แปลว่า เรารู้จักเป็นอย่างดี ดังนั้นตัวเลือก ที่ 3 จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด เพราะ spare tyre เป็น slang มีความหมายว่า ห่วงยางหน้าท้อง ซึ่งในบริบทนี้ เขาหมายถึงว่า เห็นเพื่อนฟิตออกกำลังกาย แล้วอยากจะทำอะไรเพื่อสลายพุงของตัวเองบ้าง
twist someone's arm (idiom) = บังคับ, กดดัน
heart of hearts (idiom) = ก้นบึงของหัวใจ
spare tyre (slang) = ไขมันหน้าท้อง (ห่วงยาง)
the back of my hand (idiom) = (รู้จัก) เป็นอย่างดี
Part 2 READING
Passage 1
1
In 1845, Captain Franklin, a B"ritish
Royal Navy pfficer, took two ships · and 129 men towards the
Northwest Territories in an attempt to map the
Northwest Passage, a route that would allow
sailors : to travel from the Atlantic·to the Pacific
via the icy Arcticcircle.
5
Stocked with provisions that · could Iast
for seven years, and outfitted with the latest
technology and experienced men, the two ships-- the HMS Erebus and the
HMS Terror were some of the biggest, strongest vessels ever
to make the journey.
But the men vanished into the frozen Arctic, leaving
a few clues but no
10
explanation as to what \Yent wrong.
The first search party set off 3 years
later in 1848. In the latest hunt for
the remains of Captain Sir John
Franklin and his men, 160 years after he
took his crew deep into theArctic,
representatives from Parks Canada anounced the
results from their search during the
summer proved
15
unsuccessfuI.
ในปี 1845 กัปตันแฟรงคลิน นายทหารแห่งราชนาวีอังกฤษ นาเรือสองลาพร้อมด้วยลูกเรือ 129 คน มุ่งหน้าสู่ดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwest Territory) ด้วยความพยายามที่จะวาดแผนที่เส้นทางสายตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะนาทหารเรือเดินทางจากมหาสมุทร แอตแลนติคสู่มหาสมุทรแปซิฟิคผ่านเส้นอาร์คติค เซอร์เคิล (Arctic circle) ที่หนาวเย็น เรือทั้งสองลา คือ เรือหลวงอีเรบัส (Erebus) และ เรือหลวงเทอร์เรอร์ (HMS Terror) ได้มีการตุนเสบียงที่สามารถเลี้ยงลูกเรืออยู่ได้ถึง 7 ปี และติดตั้งเครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดในสมัยนั้น รวมถึงยังมีลูกเรือที่มีประสบการณ์ นั่นทาให้เรือทั้งสองลาเป็นหนึ่งในจานวนเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุด และแข็งแรงที่สุดที่เคยออกเดินทางมา แต่ลูกเรือทั้งหมดหายสาบสูญไปในทะเลอาร์คติคอันหนาวเย็น ทิ้งไว้แต่เพียงร่องรอยบางประการ แต่ก็ไม่มีคาอธิบายว่ามีความผิดพลาดอะไรกับเรือ การค้นหาเรือและลูกเรือในครั้งแรกเกิดขึ้น 3 ปีหลังที่เรือออกเดินทาง คือปี 1848 และการค้นหาซากที่ยังเหลืออยู่ของกัปตัน เซอร์ จอห์น แฟรงคลิน และลูกเรือของเขา ครั้งล่าสุดเกิดขึ้น 160 ปีหลังจากที่เขานาลูกเรือดาดิ่งสู่ทะเลอาร์คติค ตัวแทนจากพาร์ค แคนาดา (Parks Canada) ประกาศว่าผลจากการค้นหาของพวกเขาในระหว่างฤดูร้อนนั้นไม่ประสบความสาเร็จ
ในปี 1845 กัปตันแฟรงคลิน นายทหารแห่งราชนาวีอังกฤษ นาเรือสองลาพร้อมด้วยลูกเรือ 129 คน มุ่งหน้าสู่ดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwest Territory) ด้วยความพยายามที่จะวาดแผนที่เส้นทางสายตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะนาทหารเรือเดินทางจากมหาสมุทร แอตแลนติคสู่มหาสมุทรแปซิฟิคผ่านเส้นอาร์คติค เซอร์เคิล (Arctic circle) ที่หนาวเย็น เรือทั้งสองลา คือ เรือหลวงอีเรบัส (Erebus) และ เรือหลวงเทอร์เรอร์ (HMS Terror) ได้มีการตุนเสบียงที่สามารถเลี้ยงลูกเรืออยู่ได้ถึง 7 ปี และติดตั้งเครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดในสมัยนั้น รวมถึงยังมีลูกเรือที่มีประสบการณ์ นั่นทาให้เรือทั้งสองลาเป็นหนึ่งในจานวนเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุด และแข็งแรงที่สุดที่เคยออกเดินทางมา แต่ลูกเรือทั้งหมดหายสาบสูญไปในทะเลอาร์คติคอันหนาวเย็น ทิ้งไว้แต่เพียงร่องรอยบางประการ แต่ก็ไม่มีคาอธิบายว่ามีความผิดพลาดอะไรกับเรือ การค้นหาเรือและลูกเรือในครั้งแรกเกิดขึ้น 3 ปีหลังที่เรือออกเดินทาง คือปี 1848 และการค้นหาซากที่ยังเหลืออยู่ของกัปตัน เซอร์ จอห์น แฟรงคลิน และลูกเรือของเขา ครั้งล่าสุดเกิดขึ้น 160 ปีหลังจากที่เขานาลูกเรือดาดิ่งสู่ทะเลอาร์คติค ตัวแทนจากพาร์ค แคนาดา (Parks Canada) ประกาศว่าผลจากการค้นหาของพวกเขาในระหว่างฤดูร้อนนั้นไม่ประสบความสาเร็จ
1.
What would be the best possible title of this article?
ชื่อเรื่องที่ดีที่สุดของบทความนี้คือข้อใด
1) The
Arctic Search
การค้นหาในทะเลอาร์คติค
2) Captain
Franklin's Men
ลูกเรือของกัปตันแฟรงคลิน
3)
Franklin's Fateful Expedition
การเดินทางมรณะของแฟรงคลิน
4) Searches
for the British Ships
การค้นหาเรืออังกฤษ
5) A British
Royal Navy Exploration
การสำรวจของราชนาวีอังกฤษ
เฉลย
ตัวเลือกที่ 3 เพราะข้อนี้ถามชื่อเรื่อง เมื่อน้องๆ
อ่านเรื่องจบจะเห็นว่าใจความสำคัญของบทความอยู่ที่การเดินทางที่หายสาบสูญของกัปตันแฟรงคลินและลูกเรือบนเรือหลวงทั้งสองลำ
บทความไม่ได้พุ่งประเด็นไปยังการค้นหาเรือที่หายสาบสูญ
เพราะบทความมีการให้ข้อมูลของเรืออยู่พอสมควรทีเดียว ชื่อเรื่องนั้นควรเป็นชื่อที่บอกถึงใจความรวมของเนื้อหา
ดังนั้นข้อนี้จึงตอบตัวเลือกที่ 3 การเดินทางมรณะของแฟรงคลินค่ะ
2.
Wha(event most likely took place in 1845?
ข้อใดมีแนวโน้มว่าได้เกิดขึ้นในปี 1845
ข้อใดมีแนวโน้มว่าได้เกิดขึ้นในปี 1845
1) An
introduction of maps
การริเริ่มทำแผนที่
2) An
exploration of new routes
การสำรวจเส้นทางใหม่ๆ
3)
A discovery of the Arctic Circle
การค้นพบเส้นอาร์คติค
เซอร์เคิล
4) British
new territories in the northwest
ดินแดนใหม่อังกฤษในแถบตะวันตกเฉียงเหนือ
5) No
travelling allowed in the Pacific Ocean
ไม่มีการอนุญาตให้เดินเรือในมหาสมุทรแปซิฟิค
เฉลยตัวเลือกที่ 2 เพราะข้อนี้นะคะน้องๆ ไม่ได้บอกกันตรงๆ ต้องคิดจินตการถึงบริบทจากเรื่องราวในบทความให้ดีค่ะ ในย่อหน้าแรกได้บอกว่าเรือของกัปตันแฟรงคลินได้ออกเดินทางเพื่อวาดแผนที่เส้นทางเดินเรือใหม่ จากเกาะอังกฤษไปยังดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ โดยจะใช้เส้นทางผ่านเส้นอาร์คติค เซอร์เคิล จากข้อมูลจะเห็นว่าเส้นอาร์คติค เซอร์เคิล และดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเป็นที่รู้จักกันมาแล้ว ดังนั้นไม่ใช่ของใหม่ ส่วนแผนที่นั้นวาดขึ้นใหม่ แต่การทำแผนที่ไม่ใช่ของใหม่ในสมัยนั้นเช่นกัน ส่วนตัวเลือกที่ 5 นั้นผิดไปเลยเพราะไม่มีส่วนไหนเลยที่บอกว่าไม่มีการอนุญาตให้เดินเรือในมหาสมุทรแปซิฟิค ดังนั้นข้อที่ถูกต้องจึงเป็นตัวเลือกที่ 2 ค่ะ การสำรวจเส้นทางใหม่ๆ เป็นสิ่งที่น่าจะกำลังเกิดขึ้นในช่วงปี 1845 นั้น
เฉลยตัวเลือกที่ 2 เพราะข้อนี้นะคะน้องๆ ไม่ได้บอกกันตรงๆ ต้องคิดจินตการถึงบริบทจากเรื่องราวในบทความให้ดีค่ะ ในย่อหน้าแรกได้บอกว่าเรือของกัปตันแฟรงคลินได้ออกเดินทางเพื่อวาดแผนที่เส้นทางเดินเรือใหม่ จากเกาะอังกฤษไปยังดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ โดยจะใช้เส้นทางผ่านเส้นอาร์คติค เซอร์เคิล จากข้อมูลจะเห็นว่าเส้นอาร์คติค เซอร์เคิล และดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเป็นที่รู้จักกันมาแล้ว ดังนั้นไม่ใช่ของใหม่ ส่วนแผนที่นั้นวาดขึ้นใหม่ แต่การทำแผนที่ไม่ใช่ของใหม่ในสมัยนั้นเช่นกัน ส่วนตัวเลือกที่ 5 นั้นผิดไปเลยเพราะไม่มีส่วนไหนเลยที่บอกว่าไม่มีการอนุญาตให้เดินเรือในมหาสมุทรแปซิฟิค ดังนั้นข้อที่ถูกต้องจึงเป็นตัวเลือกที่ 2 ค่ะ การสำรวจเส้นทางใหม่ๆ เป็นสิ่งที่น่าจะกำลังเกิดขึ้นในช่วงปี 1845 นั้น
3.
How long would Captain Franklin's food supplies last?
เสบียงอาหารของกัปตันแฟรงคลินจะอยู่ได้ถึงกี่ปี
1) one
decade
1 ทศวรรษ
2) three
years
สามปี
3) a few
years
สองสามปี
4) seven
years
เจ็ดปี
5) three
score years
หกสิบปี (1 score year = 20 years)
เฉลยตัวเลือกที่ 4 เพราะข้อนี้ง่ายค่ะถ้าเรารู้ศัพท์ จากย่อหน้าที่ 2 คำว่า provision (n.) แปลว่าเสบียง stock (v.) แปลว่าเก็บสะสมค่ะ ดังนั้นจากประโยคที่ว่า ‚Stocked with provisions that could last for seven years‛ จึงแปลว่าเรือได้เก็บเสบียงที่สามารถอยู่ได้ถึง 7 ปีค่ะ ข้อนี้หากน้องๆ ไม่ทราบคำศัพท์ provision ก็สามารถเดาได้จากคำว่า stock คำว่า last และจำนวนปีที่ปรากฎค่ะคือ 7 ปีค่ะ
4. In
the third paragraph, what does the phrase "what went
wrong" (line 10)
refer to?
ในย่อหน้าที่ 3 วลีว่า ‚what went wrong‛ (ในบรรทัดที่ 10)
หมายถึงข้อใด
1) the
discoveries of a few clues
การค้นพบหลักฐานบางประการ
2) why
the men left their captain
เหตุใดลูกเรือถึงทิ้งกัปตันของพวกเขา
3) the
disappearance of the ships
การหายสาบสูญของเรือ
4) how
Franklin took the wrong route
แฟรงคลินไปผิดทางได้อย่างไร
5)
Franklin's decision to go to the frozen Arctic
การตัดสินใจของแฟรงคลินที่จะมุ่งสู่ทะเลอาร์คติคอันหนาวเย็น
เฉลย ตัวเลือกที่ 3 เพราะข้อนี้ “what went wrong‛ แปลตรงตัวคืออะไรที่ผิดพลาดไป จากประโยคได้บอกไว้ว่า “แต่ลูกเรือทั้งหมดหายสาบสูญไปในทะเลอาร์คติคอันหนาวเย็น ทิ้งไว้แต่เพียงร่องรอยบางประการ แต่ก็ไม่มีคำอธิบายว่ามีความผิดพลาดอะไรกับเรือ” ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้หมายถึงการหายสาบสูญของเรือว่าเหตุใดเรือถึงได้หายไป แต่ก็ไม่มีใครค้นพบสาเหตุของเรือที่สูญหาย ดังนั้นคำตอบจึงเป็นตัวเลือกที่ 3 ค่ะ
5.
Which of the following is TRUE about the search for Captain
Franklin and his men? .
ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องเกี่ยวกับการค้นหากัปตันแฟรงคลินและลูกเรือ
1) It was
made only once since 1848.
มีการค้นหาครั้งเพียงครั้งเดียวตั้งแต่ปี
1848
2) Canada
was responsible for the search.
แคนาดาเป็นผู้รับผิดชอบในการค้นหา
3) There was
no search done by the British.
อังกฤษไม่ได้ทาการค้นหาเลย
4) The
first search was in 1848 and the second one was in 2005.
การค้นหาครั้งแรกมีขึ้นปี
1848 และครั้งที่สองมีขึ้นปี 2005
5) The
search for Captain Franklin and his men has been in vain.
การค้นหากัปตันแฟรงคลินและลูกเรือเป็นไปโดยเปล่าประโยชน์
เฉลย ตัวเลือกที่ 5 เพราะข้อนี้ถามข้อที่ถูก เพราะฉะนั้นเราต้องตัดข้อที่ผิดทั้งหมดออกไปแล้วจะได้คำตอบที่ถูกต้องค่ะ ตัวเลือกที่ 1 ผิดค่ะ มีการค้นหาเรืออย่างน้อยสองครั้งที่ระบุไว้ในบทความ ครั้งแรกคือสามปีหลังจากที่เรือเริ่มออกเดินทางคือปี 1848 ส่วนครั้งล่าสุดคือ 160 ปีต่อมาที่ทำการค้นหาโดย Parks Canada ค่ะ ตัวเลือกที่สองผู้รับผิดชอบในการค้นหาคือประเทศแคนาดา ข้อนี้กว้างเกินไปค่ะ ในบทความบอกว่าการค้นหาครั้งล่าสุดทำโดย Parks Canada แต่ไม่ได้บอกว่าประเทศแคนาดาเป็นผู้รับผิดชอบการค้นหาค่ะ ตัวเลือกที่ 3 ก็ผิดเพราะในบทความไม่มีบอกเลยว่าทางอังกฤษไม่เคยออกค้นหาเรือที่หายสาบสูญเหล่านี้ ตัวเลือกที่ 4 ครึ่งแรกถูกค่ะ การค้นหาครั้งแรกมีขึ้นปี 1848 แต่การค้นหาในปี 2005 นั้นเป็นการค้นหาครั้งล่าสุดนะคะ ไม่ใช่ครั้งที่ 2 เพราะฉะนั้นข้อนี้ผิดค่ะ สุดท้ายตัวเลือกที่ 5 ข้อนี้ถูกต้องเพราะจากประโยคสุดท้ายที่บอกว่า จากการค้นหาครั้งล่าสุด มีประกาศว่าผลจากการค้นหาของพวกเขาในระหว่างฤดูร้อนนั้นไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นจึงถูกต้องที่ว่า การค้นหากัปตันแฟรงคลินและลูกเรือเป็นไปโดยเปล่าประโยชน์
เฉลย ตัวเลือกที่ 5 เพราะข้อนี้ถามข้อที่ถูก เพราะฉะนั้นเราต้องตัดข้อที่ผิดทั้งหมดออกไปแล้วจะได้คำตอบที่ถูกต้องค่ะ ตัวเลือกที่ 1 ผิดค่ะ มีการค้นหาเรืออย่างน้อยสองครั้งที่ระบุไว้ในบทความ ครั้งแรกคือสามปีหลังจากที่เรือเริ่มออกเดินทางคือปี 1848 ส่วนครั้งล่าสุดคือ 160 ปีต่อมาที่ทำการค้นหาโดย Parks Canada ค่ะ ตัวเลือกที่สองผู้รับผิดชอบในการค้นหาคือประเทศแคนาดา ข้อนี้กว้างเกินไปค่ะ ในบทความบอกว่าการค้นหาครั้งล่าสุดทำโดย Parks Canada แต่ไม่ได้บอกว่าประเทศแคนาดาเป็นผู้รับผิดชอบการค้นหาค่ะ ตัวเลือกที่ 3 ก็ผิดเพราะในบทความไม่มีบอกเลยว่าทางอังกฤษไม่เคยออกค้นหาเรือที่หายสาบสูญเหล่านี้ ตัวเลือกที่ 4 ครึ่งแรกถูกค่ะ การค้นหาครั้งแรกมีขึ้นปี 1848 แต่การค้นหาในปี 2005 นั้นเป็นการค้นหาครั้งล่าสุดนะคะ ไม่ใช่ครั้งที่ 2 เพราะฉะนั้นข้อนี้ผิดค่ะ สุดท้ายตัวเลือกที่ 5 ข้อนี้ถูกต้องเพราะจากประโยคสุดท้ายที่บอกว่า จากการค้นหาครั้งล่าสุด มีประกาศว่าผลจากการค้นหาของพวกเขาในระหว่างฤดูร้อนนั้นไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นจึงถูกต้องที่ว่า การค้นหากัปตันแฟรงคลินและลูกเรือเป็นไปโดยเปล่าประโยชน์
Passage 2
1 Dr. Sue Stevens, a leading dietician and researcher in the field of food allergies and
intolerance comments that food allergies are indeed on the rise, as is the confusion
between the definitions of allergy and intolerance While an allergy is a reaction
in the imrimne system,
5 intolerance means that the body can't process certain foods properly. As Stevens
explains, there are several theories behind the rise of food allergy and intolerance, including
that the modern society. is "too clean" and does not allow the immune system to build up the
required strength, and the rise of genetic moJifications in food crops.
10 Hmvever, Stevens suspects that food intolerance such as fructose
malabsorption has always been around, they just weren't spoken about. "Ma11y years ago people
didn't talk about bloating and wind; they were a taboo topic. I think that the problem has
always been there, it's just that no one discussed it," she says.
15 Increased demand for infonnation on food intolerances. and Irritable
Bowel Syndrome (IBS) compelled Stevens and Professor Peter Gibson, the Head of Medicine at
Monash University, to co-author The Food Intolerance Management Plan (Viking), which was
released in May. "There is a lot of misinfonnation out there. This book is the result not
20 just of good ideas but also of scientific and clinical investigation," says
Gibson.
"Conventional medicine now recognizes that food hoice is a very important part of helping
people with IBS ... This. whole area has now been turned on its head with, 'as an
American colleague said, 'an
25 avalanche of interest' in food intolerance, ·food hypersensitivity and diet," he says
แพทย์หญิง ซู สตีเว่นส์
นักโภชนาการและนักวิจัยชั้นนาในสาขาการแพ้อาหารและปัญหาในการย่อยอาหาร กล่าวว่า
การแพ้อาหาร (food
allergy) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
เช่นเดียวกับความเข้าใจที่สับสนของคาจากัดความระหว่าง การแพ้ (allergy) และความทนไม่ได้ของร่างกาย (intolerance) การแพ้เป็นปฎิกริยาที่เกิดขึ้นของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ส่วนความทนไม่ได้ของร่างกาย หมายถึง
การที่ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้สมบูรณ์ สตีเว่นส์ อธิบายว่า
มีทฤษฎีหลายทฤษฎีที่อธิบายการเพิ่มขึ้นของอาการการแพ้อาหาร และปัญหาในการย่อยอาหาร
ทฤษฎีเหล่านั้นรวมไปถึงทฤษฎีที่ว่าสังคมสมัยใหม่นั้น “สะอาดเกินไป” เป็นการปิดกั้นไม่ให้ร่างกายได้สร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่งอย่างที่ควรจะเป็น
และอีกทฤษฎีหนึ่งคือเป็นเพราะเราใช้พืชที่มีการตัดแต่งพันธุกรรมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สตีเว่นส์คาดว่าความจริงแล้วปัญหาการย่อยอาหาร อย่างเช่น
การไม่สามารถดูดซึม ฟรุคโตสได้มีอยู่ตลอด
เพียงแต่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงเท่านั้นเอง “หลายปีก่อน
คนเราจะไม่พูดถึงเกี่ยวกับอาการท้องอืดท้องเฟ้อ มันเป็นหัวข้อต้องห้าม
ฉันคิดว่าปัญหาการย่อยอาหารเหล่านี้มีมาตลอด เพียงแต่ไม่มีใครพูดถึงมันเท่านั้นเอง” สตีเว่นส์กล่าว ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการย่อยอาหารและโรคลาไส้แปรปรวน
(IBS) ผลักดันให้สตีเว่นส์ร่วมกับศาสตราจารย์ปีเตอร์
กิ๊บสัน หัวหน้าภาควิชาแพทยศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยโมนาช แต่งหนังสือที่ชื่อ “แผนการจัดการการรับอาหารบางชนิดไม่ได้” (The Food Intolerance Management
Plan) (สานักพิมพ์ไวกิ้ง)
ซึ่งจะออกวางแผงในเดือนพฤษภาคมนี้ ศ.กิ๊บสันกล่าวว่า “มีความเข้าใจผิดหลายอย่างในสังคม
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่ผลที่ออกมาจากความคิดที่ดีเท่านั้น
แต่ยังมาจากการสืบค้นทางวิทยาศาสตร์และทางการรักษาอีกด้วย” “ตอนนี้การแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับว่าการเลือกอาหารเป็นส่วนสาคัญที่ช่วยคนที่เป็นโรคลาไส้แปรปรวน...
การรักษาโรคนี้ทั้งหมดตอนนี้ได้ถูกเปลี่ยนความคิด
ด้วยสิ่งที่เพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันของผมได้บอกว่าเป็น ‘ความสนใจอย่างล้นหลาม’ ที่มีต่อปัญหาการย่อยอาหาร, การแพ้อาหาร และโภชนาการ”
6.
What is the main idea of this text?
อะไรคือใจความสาคัญของบทความนี้
1) People
are no longer shy ao·out their problems.
ผู้คนไม่อายเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขาอีกแล้ว
2) Food
hypersensitivity is part of food intolerance.
การแพ้อาหารเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาอาหารไม่ย่อย
3) Conventional
medicine has led to cure of food allergies.
การแพทย์แผนปัจจุบันได้นาไปสู่การรักษาอาการแพ้อาหาร
4) IBS has
become a better known subject for discussion.
โรคลาไส้แปรปรวนได้กลายมาเป็นหัวข้อการสนทนาที่แพร่หลายมากขึ้น
5) Food
allergy has become an interesting topic for food
processing.
เฉลย
ตัวเลือกที่ 3 เพราะการหา Main Idea คือ การหาใจความหลักค่ะ น้องๆ ระวังให้ดีนะคะ
บางตัวเลือกถูกต้องแต่ไม่ได้เป็นใจความหลักอย่างตัวเลือกที่
เป็นรายละเอียดไม่ได้เป็นในความหลักค่ะ ส่วนตัวเลือกที่ 2 นั้นผิดไปเลยเพราะการแพ้อาหาร
กับปัญหาอาหารไม่ย่อยเป็นสองสิ่งที่แตกต่างแต่ผู้คนมักจะสับสนกับคำนิยามของสองสิ่งนี้
ส่วนตัวเลือกที่ 4 ไม่ได้บอกไว้ในบทความค่ะ มีการบอกแค่ว่า
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) เป็นที่ต้องการมากขึ้นในปัจจุบัน
ส่วนตัวเลือกที่ 5 ออกนอกประเด็นไปเลยค่ะ
เพราะในบทความไม่ได้กล่าวถึงการแปรรูปอาหารเลย ดังนั้นข้อที่ถูกจึงเป็นตัวเลือกที่
3 เพราะจากบทความบอกว่าแพทย์แผนปัจจุบันมีความพยายามที่จะเข้าใจว่าอาการแพ้อาหารนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
มีหลายทฤษฎีพยายามอธิบายสิ่งนี้ รวมไปถึงหนังสือของแพทย์หญิงสตีเว่นส์และศาสตราจารย์กิ๊บสันที่ต้องการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค
IBS
7.
What is inferred in Paragraph 1 of the text?
จากย่อหน้าที่
1 สามารถสรุปได้ตรงกับข้อใด
1)
People with food allergies lack immunity. ·
คนที่แพ้อาหารมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
2) People
with food allergies are usually too clean.
คนที่แพ้อาหารมักจะเป็นคนที่สะอาดเกินไป
3) In
general, human ilnmune system has become weaker.
โดยทั่วไปแล้ว
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์จะอ่อนแอลง
4) Dr.
Stevens is confused between food allergies af?d intol rante.
แพทย์หญิงสตีเว่นส์สับสนระหว่างแพ้อาหารและปัญหาในการย่อยอาหาร
5)
Genetica lly modified foods are the main cause of food
allergies and intolerance.
อาหารตัดต่อทางพันธุกรรมเป็นสาเหตุหลักให้เกิดการแพ้อาหารและปัญหาการย่อยอาหาร
เฉลย ตัวเลือกที่
2 เพราะในการทำโจทย์ลักษณะนี้น้องๆต้องตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ทิ้งออกไปทีละข้อนะคะ
เราเริ่มจากตัวเลือกที่ 1
ข้อนี้กล่าวกว้างไปค่ะ (too general) ตัวเลือกที่ 3 ผิดค่ะ
in general คือโดยทั่วไป
แต่ในบทความไม่ได้กล่าวไว้เลยว่าโดยทั่วไปภูมิคุ้มของมนุษย์จะอ่อนแอลง ตัวเลือกที่
4 นี่ชัดเจนค่ะว่าผิด
เพราะคุณหมอสตีเว่นส์ไม่ได้สับสน
แต่คนที่สับสนระหว่างการแพ้อาหารและปัญหาในการย่อยอาหารคือคนทั่วไปค่ะ
ส่วนตัวเลือกที่ 5 กล่าวเกินจริงค่ะ เพราะในบทความย่อหน้าที่ 1 บอกว่าอาหารจากพืชตัดต่อพันธุกรรมเป็นหนึ่งในทฤษฏีที่สามารถทำให้การแพ้อาหารมีเพิ่มมากขึ้น
แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักค่ะ ดังนั้นก็จะเหลือข้อที่ไม่ได้ตัด คือ ตัวเลือกที่ 2 คนที่แพ้อาหารมักจะเป็นคนที่สะอาดเกินไป
เป็นคำตอบที่ถูกต้องค่ะ จากประโยคที่ว่า “….the modern society is ‚too clean‛ and does not allow the
immune system to build up the required strength,‛ จากบทความใช้คำว่าสังคมสมัยใหม่สะอาดเกินไป
ทำให้เรานำมาสรุปได้ว่าคนที่แพ้อาหารนั้นมักจะเป็นคนที่สะอาดเกินไป
8.
What is fructose malabsorption?
ข้อใดคือการไม่สามารถดูดซึมฟรุคโตส
1) An
example of food int olerance
ตัวอย่างของปัญหาในการย่อยอาหาร
2) An
illness cau edby fruit intake
ความเจ็บป่วยที่เกิดจากการบริโภคผลไม้
3)
Confusion led by poor definition
ความสับสนที่เกิดจากคานิยามที่ไม่ดีพอ
4) A
res IIt of a food probioticresearch
ผลลัพธ์หนึ่งของการค้นคว้าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในอาหาร
5) An
incurable illness hy n recently d eve loped medicine
โรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการแพทย์ที่ได้รับการพัฒนา
เมื่อไม่นานมานี้
เฉลย
ตัวเลือกที่ 1 เพราะ ข้อนี้ไม่ยากค่ะ จากในย่อหน้าที่ 2 ที่ว่า
“สตีเว่นส์คาดว่าความจริงแล้วปัญหาการย่อยอาหาร
อย่างเช่น การไม่สามารถดูดซึมฟรุคโตสได้มีอยู่ตลอด‛ เพราะฉะนั้นชัดเจนค่ะ
การไม่สามารถดูดซึมฟรุคโตสคือตัวอย่างหนึ่งของปัญหาในการย่อยอาหารค่ะ
9.
What is the implication of this text concerning IBS treatment ?
ข้อใดคือความหมายโดยนัยที่บอกในบทความเกี่ยวกับการรักษาโรคลาไส้แปรปรวน
1)
Traditional methods can be very wpmising.
วิธีแบบโบราณสามารถเป็นความหวังในการรักษาได้
2)
Conventional medicine will never cure food intoler nce. ·
การแพทย์แผนปัจจุบันจะไม่สามารถรักษาปัญหาการย่อยอาหารได้เลย
3)
Self-awareness in terms of our dining system is beneficial.
การรู้จักตัวเองในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
4) Selection
of menu is significant to the treatment of patients.
การเลือกรับประทานอาหารสาคัญอย่างยิ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคลาไส้
แปรปรวน
5)
Dieticians and doctors are researching the causes and symptoms
ofiBS.
นักโภชนาการและหมอกาลังทาการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสาเหตุและอาการ
ของโรคลาไส้แปรปรวน
เฉลย
ตัวเลือกที่ 4 เพราะข้อนี้เรามาดูกันทีละข้อนะคะ
ว่าข้อไหนบอกโดยนัยได้ถูกต้องเกี่ยวกับโรค IBS ตัวเลือกที่
1 ผิดแน่นอน
ในบทความไม่ได้กล่าวถึงวิธีแบบโบราณหรือการแพทย์แผนโบราณเลย ส่วนตัวเลือกที่ 2 ผิดเช่นกันค่ะ
ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าการแพทย์แผนปัจจุบันจะไม่สามารถรักษาปัญหาในการย่อยอาหารได้
ตัวเลือกที่ 3 ข้อนี้คิดให้ดีๆค่ะ เพราะข้อความนี้ถูกต้อง
การที่เรารู้ว่าเราควรเลือกรับประทานอะไรเป็นสิ่งที่ดี
แต่ข้อนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาโรคลำไส้แปรปรวนค่ะ ส่วนตัวเลือกที่ 5 ก็เช่นเดียวกันค่ะถูกต้องแต่ไม่ตรงกับ “การรักษา” ดังนั้นตัวเลือกที่ถูกต้องคือตัวเลือกที่
4 ค่ะ การเลือกรับประทานอาหารเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งกับการรักษาผู้ป่วยโรค
IBS
10. What
used to be a "taboo" topic of onversation at dinner
tables?
ข้อใดเคยเป็นหัวข้อ
“ต้องห้าม” ในการสนทนาบนโต๊ะอาหาร
1) Food
choice on the menu
ตัวเลือกของเมนูอาหาร
2) Other
guests' food problems
ปัญหาเกี่ยวกับอาหารของแขก
3)
Consequences offood contamination
ผลที่ตามมาของการปนเปื้อนของอาหาร
4)
Discussing one's own bowel condition
การปรึกษาหารือกันเรื่องการขับถ่ายของแต่ละคน
5) Medicinal
therapy to stop stomachache
การบำบัดด้วยยาเพื่อที่จะรักษาอาการปวดท้อง
เฉลย
ตัวเลือกที่ 4 เพราะข้อนี้หาคำตอบได้จากย่อหน้าที่ 2 ค่ะที่บอกว่า “หลายปีก่อน คนเราจะไม่พูดถึงเกี่ยวกับอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
มันเป็นหัวข้อต้องห้าม” ดังนั้นชัดเจนค่ะว่าหัวข้อที่เคยเป็นหัวข้อต้องห้ามในการสนทนาบนโต๊ะอาหารคือปัญหาเรื่องการขับถ่ายค่ะ
ตัวเลือกที่ 1, 2 และสามนั้นในบทความไม่ได้พูดถึง ส่วนตัวเลือกที่ 5 ไม่ได้เป็นเรื่องต้องห้ามค่ะ
Part 3 WRITING
1 . A.
Collins had an aggressive cancer that responded well to a certain
regimen of prompt
chemotherapy.
A. คอลลินส์เป็นโรคมะเร็งขั้นร้ายแรงที่ตอบสนองได้ดีกับการรักษาด้วยวิธีเคมีบาบัดฉับพลัน
บางชนิด
B.
"That was really pretty devastating," recalls
Collins, 66,
B: คอลลินส์ ในวัย 66 ปีหวนคิดว่า ‚มันเสียหายอย่างมาก‛
C. But a
severe shortage of one of the key drugs, he learned, would force a switch
-to less
effective
drugs to avoid interrupting treatment.
C: เขาได้เรียนรู้ว่าการขาดแคลนอย่างรุนแรงของหนึ่งในตัวยาสาคัญนั้นจะบังคับให้
มีการปรับเปลี่ยนไปใช้ยาที่มีประสิทธิผลน้อยลงเพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคในการรักษา
D. His
prognosis would worsen without the drug, cytarabine, from about a
70 percent chance of
staying in
remission for I0 years to "a tossup".
D: การทานายอาการของโรคจะเลวร้ายลงหากขาดตัวยาไซทาราไบน์
เป็นต้นว่า อาจจะทานายอาการว่ามีโอกาสถึง 70% ที่จะมีอาการทรงตัวได้เป็น
10 ปี ไปจนถึงโอกาส รอดนั้นมีแค่ 50-50
E. a retired
Viterbo University chemi stry professor. ·
E: อาจารย์ปลดเกษียณภาควิชาเคมีมหาวิทยาลัยไวเทอร์โบท่านหนึ่ง
1) A C B E D
2) A D B E C
3) A D C B E
4) B E A C D
5) D B E A C
เฉลย
ตัวเลือกที่ 1 เพราะโดยปกติแล้วในการเขียนใจความหนึ่ง
ประโยคแรกของย่อหน้าหรือบทความนั้นจะต้องเป็นประโยคที่บอกให้ผู้อ่านได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะเกี่ยวอะไร
โดยเป็นข้อมูลกลางๆ และพี่แนนแอบบอกเทคนิคด้วยค่ะว่า Demonstrative Pronoun, Pronoun,
Connector, Phrase หรือส่วนขยายใจความ
เราจะไม่นำมาขึ้นต้นประโยคแรกของบทความนะคะ บอกอย่างนี้แล้วน้องๆ
ก็รู้ได้เลยว่าประโยค A เหมาะสมที่จะขึ้นเป็นประโยคนำมากที่สุดค่ะ
มาดูกันต่อเลยนะคะ
ประโยคแรกบอกว่าคอลลินส์เป็นมะเร็งขั้นรุนแรงที่จะตอบรับได้ดีกับการรักษาด้วยการทำคีโมบางอย่างเท่านั้น
เพราะฉะนั้นแล้วประโยคต่อไปจะต้องเป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ว่ามันร้ายแรงอย่างไร
ซึ่งพิจารณาแล้วต้องเป็นตัวเลือก C, B และ
E ที่มาสนับสนุนข้อมูลกันได้อย่างดี โดย C ขยายข้อความว่าการขาดแคลนยาบางตัวจะทำให้การรักษานั้นมีอุปสรรคได้
โดยข้อเท็จจริงนี้ก็ได้รับการยอมรับจากคอลลินส์เอง (B) และ E เป็นส่วนของใจความที่นำมาขยายข้อมูลส่วนตัวของ
B ว่าคอลลินส์เป็นใคร ทำอาชีพอะไรค่ะ
สุดท้ายก็จบด้วยประโยค D ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการขาดแคลนยาในการรักษานั้นจะเป็นอย่างไรค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะน้องๆ โจทย์แบบนี้ไม่อยากเลยค่ะ ขอเพียงแค่น้องๆ
มีสมาธิและใช้หลักการที่พี่แนนแนะนำไป รับรองว่าทำข้อสอบได้แน่นอนนะคะ aggressive (adj.) = ที่รุนแรง, ที่ก้าวร้าว
regimen (n.) = กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
devastating (adj.) = ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก shortage (n.) = การขาดแคลน prognosis (n.) = การทำนายอาการของโรค remission (n.) = การผ่อนคลาย tossup
(n.) = โอกาสเป็นไปได้เท่าๆ
กัน (50-50)
2. A. The
result can be unnecessary treatment in that age group.
A. ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นการรักษาที่ไม่จาเป็นสาหรับกลุ่มช่วงอายุดังกล่าว
B.
Doctors test too many women for human
papillomavirus, a recer:t study shows.
B. จากการศึกษาเร็วๆ
นี้พบว่าแพทย์ใช้ผู้หญิงในการทาการทดลองพาพิลโลมาไวรัส ของมนุษย์มากเกินไป
C. but 60
percent of doctors say they do it anyway.
C. แต่แพทย์จานวน 60% กล่าวว่าพวกเขาจะยังคงทาการทดลองนี้ต่อไป
D. Though
some types of the virus can cause cervical cancer, routine
screening isn't recommended
for women
under 30,
D. ถึงแม้ว่าไวรัสบางประเภทจะเป็นตัวก่อมะเร็งปากมดลูก
การคัดกรองตามปกติก็ไม่เป็น ที่แนะนาสาหรับผู้หญิงที่มีอายุต่ากว่า 30 ปี
E. Yes, many
of those women have the virus, but it often goes away on its
own.
E. จริงอยู่ว่าในจานวนผู้หญิงหลายคนนั้นมีเชื้อไวรัส
แต่มันก็หายไปได้ด้วยตัวของมันเอง
1) A B
C D E
2) B C
D A E
3) B D
C A E
4) D B
C A E
5) E A
B D C
เฉลย
ตัวเลือกที่ 3 เพราะข้อนี้ง่ายมากๆ ค่ะ มองดูก็รู้เลยว่าข้อ A, C, D, E ไม่ควรนำมาขึ้นต้นประโยคของบทความส่วนนี้นะคะ ข้อ
A ขึ้นต้นด้วย ‘The’ แสดงให้เห็นถึงการชี้เฉพาะเจาะจงมากเกินไป ข้อ C ไม่ใช่ประโยคที่สมบูรณ์ ข้อ D มีการใช้ Connector ‘Though’ ในที่นี้ทำให้ดูเป็นการลงรายละเอียดเจาะลึก และข้อ E ก็แสดงการเน้นยํ้าในข้อมูลซึ่งเหมาะจะเป็นประโยคท้ายมากกว่าค่ะ
เพราะฉะนั้นประโยคแรกสำหรับบทความในข้อนี้คือ B นะคะ
เริ่มต้นที่การบอกข้อมูลว่าแพทย์มีการใช้ผู้หญิงจำนวนที่มากเกินไปในการทดลองพาพิลโลมาไวรัส
ตามด้วยประโยคที่สองคือ D
ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการคัดกรองตามปกติไม่ได้รับการแนะนำให้ทดสอบกับผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า
30 ปี ตรงนี้พี่แนนอยากให้น้องๆ สังเกต under 30, เมื่อเห็นเครื่องหมาย comma น้องๆ รู้ได้เลยว่าจะต้องมีใจความที่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อ
แต่ไม่ใช่ประโยคใหม่นะคะ ดังนั้น C คือคำตอบต่อมาค่ะ
ต่อไปก็จะเหลือ A และ E ถ้าพิจารณาตามความหมายและใจความที่ต้องการจะสื่อแล้ว
ก็จะต้องตอบ A และ E ตามลำดับ
เนื่องจาก A จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการรักษานั้นไม่จำเป็นต่อผู้หญิงในช่วงอายุดังกล่าว
ซึ่งก็คือผู้หญิงที่อายุตํ่ากว่า 30 ปีนั่นเอง
และ E ก็ใช้ปิดท้ายเพื่อเป็นการเน้นยํ้าครั้งสุดท้ายว่าไม่จำเป็นอย่างไรนั่นเองค่ะ
เห็นมั้ยคะน้องๆ ถ้าเราใช้เทคนิคที่มีในการทำข้อสอบส่วนนี้แล้ว
ก็จะพบว่าใช้เวลาทำข้อสอบน้อยมากๆ ค่ะ cervical cancer (n.) = โรคมะเร็งปากมดลูก routine screening (n.) = การคัดกรองปกติ
3. A. But, I
ordered one anyway.
A. แต่ฉันก็สั่งซื้อมันอยู่ดี
B. I have
very little back pain and can sleep much better.
B. ฉันมีอาการปวดหลังเล็กน้อยและสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นมากกว่าเดิม
C. I have
had such a lower back pain that I could hardly stand. D.
Ihave used it for about two
months now.
C. ฉันมีอาการปวดหลังชนิดที่แทบจะยืนไม่ได้เลย
E. I saw
your ad two years ago and thought it wouldn't help me.
E. ฉันเห็นโฆษณาของคุณมาสองปีแล้วและคิดว่ามันไม่อาจช่วยฉันได้
l) A B C D E
2) B A E C D
3) C E A D B
4) D E B A C
5) E D C B A
เฉลย
ตัวเลือกที่ 3 เพราะสำหรับข้อนี้นะคะเป็นข้อความสั้นๆ
พี่แนนขอเฉลยคำตอบเลยนะคะ การเรียงที่ถูกต้องสำหรับข้อนี้คือ C E A D B ประโยคแรกที่ตัดออกไปไม่สามารถนำมาขึ้นต้นข้อความได้เลยคือข้อ
A เพราะขึ้นต้นด้วย Connector แสดงความขัดแย้งและเป็นการเจาะจงมาเกินไป พี่แนนเลือกข้อ C ที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ‘I’ มีอาการปวดหลังอย่างไร ตามด้วย E และ A ที่เป็นจุดที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงอาการเจ็บปวดของเธอ
จากการที่เธอเห็นโฆษณายาตัวหนึ่งและคิดว่ามันไม่น่าจะช่วยเธอได้
แต่เธอก็ซื้อมันอยู่ดี จากนั้น D และ B ก็เป็นสองประโยคต่อมาที่บอกความต่อเนื่องว่าหลังจากที่ใช้ยาตัวนี้มาได้ประมาณสองเดือนอาการปวดหลังดีขึ้นอย่างไรค่ะ
4. A. A
quarter of all deaths in 2007 occurred at home, according to a recent
analysis by the
Centers for
Disease Control and Prevention-a jump of more than 50 percent in two
decades.
A. จากการวิเคราะห์เมื่อเร็วๆ
นี้โดยศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคพบว่า 1 ใน
4 ของการ เสียชีวิตเมื่อปี 2007 เกิดขึ้นที่บ้านพักอาศัย ซึ่งเป็นจานวนที่ก้าวกระโดดขึ้นถึง
50% ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
B. Not
surprisingly, the deciding factor is often a person's desire, though
research
reveals that the wishes of family members can make all the
difference.
B. ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ปัจจัยในการตัดสินใจมักจะเป็นความปราถนาของตัวบุคคลเอง
ถึงอย่างไรก็ตามรายงานการวิจัยเผยให้เห็นว่าความต้องการของสมาชิกในครอบครัวสามารถ
สร้างความแตกต่างได้
C. When the
time finally comes, some 88 percent of Americans say_ they
would prefer
to die at home, though fully 63 percent of people aged 65 and
older end their
lives
in a hospital or a nursing home.. ..
C. เมื่อเวลานั้นมาถึง ชาวอเมริกันบางส่วนในจานวน 88% บอกว่าอยากจะเสียชีวิตที่บ้านของตน
อย่างไรก็ตามคนจานวนทั้ง 63%
ที่มีอายุ 65 ปีหรือมากกว่านั้นเสียชีวิต
ในขณะที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหรือบ้านพักคนชรา
D. CDC data
show, for example, that non-Hispanic whites in the US express
a higher
preference than Hispanics and blacks for dying at home and
indeed do so in greater
numbers.
D. ข้อมูล CDC แสดงให้เห็นตัวอย่างเช่นว่าคนผิวขาวที่ไม่มีเชื้อสายละตินในสหรัฐอเมริกา
มีความพึงพอใจมากกว่าคนผิวขาวที่มีเชื้อสายละตินและคนผิวดาในการที่จะเสียชีวิต
ที่บ้านพักของตน ซึ่งในความจริงแล้วเป็นจานวนที่มากกว่ากันมาก
E. But it
appears that paradigm is s tarting to shift.
E. แต่ปรากฏว่าแบบอย่างนั้นกาลังจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
l) A C D B E
2) A E D
B C
3) C E A B D
4) C E B A D
5) D B E C A
เฉลย
ตัวเลือกที่ 2 เพราะก่อนอื่นพี่แนนขอเฉลยก่อนนะคะ
การเรียงลำดับประโยคที่ถูกต้องสำหรับข้อนี้คือ A E D B C นะคะ ตัวเลือก A เหมาะสมที่จะเป็นประโยคขึ้นต้นข้อความเนื่องจากเป็นการเกริ่นนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชากรในปี
2007 ว่าเกิดขึ้นที่บ้านพักอาศัย ตามด้วย E ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสาเหตุหรือลักษณะการเสียชีวิตนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป
เปลี่ยนไปจากลักษณะใด และเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรจึงเป็นที่มาของการเรียงใจความ E D และ B ต่อกันค่ะ
โดย B เป็นการขยายใจความของข้อมูล CDC จากตัวเลือก D ว่าสาเหตุในการเลือกการเสียชีวิตนั้นมาจากความต้องการส่วนบุคคลเอง
และ C ก็เป็นใจความที่เหมาะสมในการนำปิดท้ายว่าข้อเท็จจริงเมื่อถึงเวลานั้นของชีวิตแล้ว
การเสียชีวิตเกิดขึ้นที่ใดค่ะ nursing home (n.) = บ้านพักคนชรา non-Hispanic
(adj.) = ที่ไม่มีเชื้อสายละติน
paradigm (n.) = แบบอย่าง, แบบแผน
5. A.
The other problem is that once colleges get into big-time sports,
conuption tends to
follow.
A. อีกปัญหาหนึ่งนั่นก็คือ ทันทีที่มหาวิทยาลัยต่างๆ
ได้เข้ามาสู่กีฬาระดับมหาวิทยาลัย การติดสินบนก็มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นตามมา
B. Only a
handful of athletic departments actually pay for themselves.
B. มีเพียงแผนกกีฬาจานวนหยิบมือเท่านั้นที่ใช้เงินของตัวเอง
C. The rest
rely on students' tuition and fees to help pay for coaches, trainers,
equipment, and
travel
and lodging expenses for the players.
C. ที่เหลือใช้เงินค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมต่างๆ
ของนักเรียนสาหรับใช้จ่ายให้กับ ครูฝึกส่วนตัว ผู้ฝึกสอน อุปกรณ์
รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางและพักแรมสาหรับนักกีฬา
D.
High-po·wered athletic programs drain money from academics.
D. โปรแกรมการแข่งขันกีฬาที่มีอิทธิพลสูงใช้เงินสนับสนุนจากอาจารย์มหาวิทยาลัย
E. A
university has· more football coaches (seven) than it has professors in its
history department
(four).
E. มหาวิทยาลัยหนึ่งแห่งมีครูฝึกทีมฟุตบอลส่วนตัว (7 คน) มากกว่าอาจารย์ผู้สอน ในภาควิชาประวัติศาสตร์
(4 คน) เสียอีก
1) B E
C A D
2) D A B C E
3) D B
C E A
4) D E
A B C
5) E D
C B A
เฉลย
ตัวเลือกที่ 3 เพราะก่อนอื่นพี่แนนขอเฉลยคำตอบที่ถูกต้องก่อน
ซึ่งก็คือตัวเลือกที่ 3 D
B C E A นะคะ
เช่นเคยค่ะน้องๆ ให้เลือกประโยคแรกที่เป็นข้อมูลในเชิงกว้างซึ่งก็ต้องเป็นตัวเลือก
D ที่บอกว่าโปรแกรมการแข่งขันกีฬาที่มีอิทธิพลหรือได้รับความนิยมสูงนั้นได้รับเงินสนับสนุนจากอาจารย์มหาวิทยาลัย
จากนั้นเพื่อเป็นการเปรียบเทียบในเรื่องดังกล่าวจึงตามมาด้วย B ที่บอกว่าแผนกกีฬาบางแผนกจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ใช้เงินของตัวเอง
เอาล่ะค่ะ เมื่อสักครู่พูดถึงแผนกกีฬาจำนวนหนึ่งไปแล้ว
เพราะฉะนั้นก็มาดูกันต่อว่าส่วนที่เหลือนั้นเป็นยังไงกันบ้างเนื่องจากว่ายังอยู่ในบริบทของการเปรียบเทียบอยู่จึงต้องเป็นตัวเลือก
C ค่ะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เหลือแค่สองตัวเลือกคือ E และ A ค่ะ
ตรงนี้พี่แนนอยากให้น้องๆ ลองดูคำว่า The Other คำนี้เราจะใช้เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมของส่วนอื่นๆ ที่ตามมา
ดังนั้นมันไม่ควรจะเป็นประโยคแรก เราจึงตัดสินใจได้ไม่ยากเลยค่ะว่าจะต้องลำดับด้วย
E และ A นะคะ
โดยเป็นการแสดงให้เห็นว่าปัญหาอื่นนั้นคืออะไรค่ะ big-time sports (n.) = กีฬามหาวิทยาลัย corruption (n.) = การฉ้อฉล, การติดสินบน
handful (n.) = จำนวนหนึ่งกำมือ (จำนวนน้อย) drain (v.) = หมด, ใช้จนหมดไม่มีเหลือ
Part 4
Vocabulary
1.We’re off to……John. We want to see the new film at the Indra.
เรากำลังออกไป ...... จอห์น เราต้องการที่จะเห็นภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่พระอินทร์
1. pick over … come over เลือกกว่า ... มา
2. pick up … come along รับมาพร้อม ...
3. pick on … come by เลือกใน ... มาจาก
4.. pick out … come in เลือกออกมาใน
เฉลยข้อ 2 pick up…come along
pick up = แวะรับ, หยิบ come along = ไปด้วยกัน
We’re off to pick up John. We want to see the new film at the indra.
Would you like to come along ?
เราออกไปรับจอห์น เราต้องการดูภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ อินทรา
คุณต้องการไปด้วยกันไหมล่ะ ?
2. My youngest sister could…..a faucet to get a drink, but she was never able to…..the water all over the floor.
น้องสาวคนสุดท้องของฉันจะ ... หรอกก๊อกน้ำที่จะได้รับเครื่องดื่ม แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะ ... น้ำ ..the ทั่วพื้น
1. turn on … clean up เปิด ... ทำความสะอาด
2. turn to … pick up หันไปรับ ...
3. turn out … put away เปิดออกนำไป ...
4. turn off … sweep away ปิด ... กวาดไป
เฉลยข้อ 1 turn on …clean up
turn on = เปิด, หมุน (รอบแกน),
clean up = ทำความสะอาด
My youngest sister could turn on a faucet to get a drink, but she was never able to clean up the water all over the floor.
น้องสาวคนเล็กที่สุดสามารถเปิดก๊อกนํ้าดื่มได้แต่เธอไม่สามารถทำความสะอาดน้ำที่อยู่เต็มพื้น
turn out = กลายเป็น turn off = ปิด
pick up = หยิบ put away = เอาไปเก็บที่
sweep away – ปัดกวาดให้สะอาด
3. In ordinary conversation I concentrate my gaze….both eyes of the person addressing me.
ในการสนทนาธรรมดาผมมีสมาธิจ้องมองตาของฉัน ... .both ของบุคคลที่ฉันอยู่
1. in ใน
2. on บน
3. as เช่น
4. to ไปยัง
เฉลยข้อ 2 on
concentrate my gaze on = จ้อง, โปรดจำไว้ว่า
concentrate จะตามด้วย preposition ‘on’ เสมอ
4. There were many inconveniences that you have to put….. when you go camping. )
มีหลายความไม่สะดวกที่คุณต้องใส่ ... .. เมื่อคุณไปตั้งแคมป์อยู่
1. off to ออกไป
2. away from ห่างจาก
3. cut from ตัดออกจาก
4. up with ขึ้นมาด้วย
เฉลยข้อ 4 up with
put up with = ยอมอดทน
There are many inconveniences that you have to put up with when you go camping.
มีสิ่งที่ไม่สะดวกสบายหลายอย่าง เธอต้องอดทนเมื่อไปอยู่แคมป์
5. I think you’d better sort …..the things you want to keep and the things you want to throw…..before we leave.
ฉันคิดว่าคุณต้องการจัดเรียงสิ่งที่ดีกว่า ... ..the คุณต้องการที่จะเก็บและสิ่งที่คุณต้องการที่จะโยน ... ..before เราออก
1. out, away ออกไป
2. with, out ที่มีออกมา
3. away, out ทางออก
4. of, away ของออกไป
เฉลยข้อ 1 out, away
sort out = จัดให้เป็นหมวดหมู่ throw away – โยนทิ้ง
I think you d better sort out the things you want to keep and things you want to throw away before we leave.
ฉันคิดว่าเธอควรจะจัดสิ่งของที่คุณต้องการเก็บเอาไว้ให้เป็นหมวดหมู่ และสิ่งของที่คุณต้องการทิ้งๆ ไปเสียก่อนที่เราออกไป
6. It has been raining since nine o’clock in the morning; the field is wet. I think we should call….the match this evening. (Ent.วิทย์)
มันได้รับการมีฝนตกตั้งแต่ 09:00 ในตอนเช้า สนามเปียก ผมคิดว่าเราควรจะเรียก ... การแข่งขันช่วงเย็นวันนี้ได้โดยง่าย
1. on บน
2. at เช่น
3. out ออก
4. off ปิด
เฉลยข้อ 4 off
call off = เลื่อน
I think we should call off the match this evening.
ฉันคิดว่าเราควรจะเลื่อนการแข่งขันในเย็นนี้ออกไป
call on = ไปเยี่ยม call at = แวะเยี่ยม, มาถึง call out = ตะโกน
7. “what did they do during their long holidays together ?”
Well, they concentrated …..rest, good eating, and relaxed
conversation.”
"สิ่งที่พวกเขาทำในช่วงวันหยุดยาวของพวกเขากัน?"
ดีที่พวกเขามีความเข้มข้น ... ..rest, การรับประทานอาหารที่ดีและผ่อนคลาย
การสนทนา
1. at เช่น
2. in ใน
3. on บน
4. to ไปยัง
เฉลยข้อ 3 on
concentrated จะต้องใช้กับ preposition ‘on’ = ขัน, แรง
8. “May I……the lights ?”
“Of course. But don’t forget to……the lights when you leave.”
"ฉันขอ ...... ไฟได้หรือไม่"
"แน่นอน. แต่ไม่ลืมที่จะ ...... ไฟเมื่อคุณออกจาก. "
1 turn on … turn down เปิด ... เปิดลง
2. turn up … turn in เปิดขึ้น ... เปิด
3. turn on … turn out เปิด ... เปิดออก
4. turn off … turn up ปิดเปิดขึ้น ...
เฉลยข้อ 3 turn on…turn out
turn on = เปิดไฟ turn out = ปิดไฟ
May I turn on the lights ? ขออนุญาตเปิดไฟได้ไหม ?
Of course. But don’t forget to turn out.
turn in = ยื่นเสนอ turn down = ปฏิเสธ, ล้มเลิก
9. Why don’t you look…..that word in the dictionary if you don’t know its meaning ?
ทำไมคุณไม่มอง ... ..that คำในพจนานุกรมถ้าคุณไม่ทราบความหมายของตนหรือไม่
1. at เช่น
2. up ขึ้น
3. out ออก
4. to ไปยัง
เฉลยข้อ 2 up
look up = ค้นหา look at = มองดู look out = ระวัง
Why don’t you look up that word in the dictionary if you don’t know its meaning ?
ทำไมคุณไมค้นหาคำนั้นในดิกชันนารีถ้าคุณไม่รู้ความหมายคำนั้น
10. The boy depends…..his sister to take care him.
เด็กขึ้นอยู่ ... น้องสาว ..his ที่จะดูแลเขา
1. to … with ที่จะมี ..
2. on … about ในเรื่องเกี่ยวกับ ...
3. on … of ในการ
4. to … to เพื่อที่จะ
เฉลยข้อ 3 on…of
depends จะใช้กับ preposition ‘on หรือ upon’ = ขึ้นอยู่กับ, พึ่ง
take care of = ดูแล
The boy depends on his sister to take care of him.
เด็กชายต้องอาศัยพี่สาวของเขาคอยดูแล
No comments:
Post a Comment